ไม่พบผลการค้นหา
"เพื่อไทย" แสดงจุดยืน แบน3สารพิษอันตราย แนะ 9ข้อ ทางออกภาคการเกษตร จี้นายกฯรับผิดชอบหาก กรรมการวัตถุอันตรายมีมติไม่ยุติการใช้

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย กล่าวถึง กรณีที่คณะกรรมการวัตถุอันตราย เตรียมประชุมเพื่อลงมติว่าจะแบน 3สารพิษอันตรายหรือไม่ว่า พรรคเพื่อไทยในฐานะที่เน้นนโยบายมีประชาชนเป็นศูนย์กลางจำเป็นต้องแสดงจุดยืน สนับสนุน การเลิกใช้สารเคมี ซึ่งคณะกรรมาธิการวิสามัญมีมติเอกฉันท์ และสอดคล้องกับพรรคเพื่อไทย โดยนายปลอดประสพ เปิดเผยว่าพรรคเพื่อไทยมีนโยบาย 9 ข้อ คือมองว่า เกษตรกรจำนวน 30 ล้านคนของประเทศและที่ดินภาคการเกษตรอีกกว่า 100 ล้านไร่ ถือเป็นความมั่นคงของชาติ 

พรรคเพื่อไทยเชื่อว่าหากภาคเกษตรกรรมอุตสาหกรรมธุรกิจการเกษตร ถ้าดำเนินการอย่างถูกต้องจะสามารถนำพาประเทศให้เจริญรุ่งเรืองได้อย่างยั่งยืน เป็นประเทศแนวหน้าเป็นประเทศมหาอำนาจด้านอาหารของโลก และเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ทางด้านเกษตรที่สะอาดปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จะเป็นเป้าหมายของการพัฒนาการเกษตรของประเทศผลิตภัณฑ์การเกษตรที่สะอาดปลอดภัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะต้องเป็นเป้าหมายในการพัฒนาเกษตรของประเทศไทย

สำหรับข้อเท็จจริงในทางวิชาการจากหลายสถาบัน และในเชิงประจักษ์ยืนยันได้ว่า 3 สารพิษดังกล่าวเป็นอันตรายร้ายแรงต่อเกษตรกรผู้ใช้ต่อประชาชน ที่บริโภค และเป็นอันตรายต่อสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทยเห็นสมควรที่จะต้องระงับการมีไว้ในครอบครองและการใช้สารเคมีทั้ง 3 ชนิด โดยทันที และเป็นหน้าที่ของรัฐบาลจะต้องหาทางออกเรื่องการทดแทนทั้งในเชิงปฏิบัติ โดยเฉพาะการเยียวยาโดยเร็วที่สุด เนื่องจากเป็นเรื่องความมั่นคงทางอาหารและสิ่งแวดล้อม พรรคเพื่อไทยเสนอว่าให้ใช้งบจากโหมดความมั่นคงเพราะนี่คือความมั่นคงทางอาหารและสิ่งแวดล้อม 

หากยังปล่อยให้เดินหน้าต่อนั่นคือความหายนะของประชาชนและสิ่งแวดล้อม จึงขอวิงวอนไปถึงทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้องรัฐบาล ต้องมีหน้าที่ช่วยเหลือเยียวยาผู้ประกอบการที่นำเข้าถูกต้องตามกฎหมายและมีบัญชีกับรัฐบาลในการประชุมคณะกรรมการวัตถุอันตราย ทุกคนที่มีสิทธิ์ตัดสินใจว่าจะเป็นการตัดสินใจครั้งประวัติศาสตร์ของประเทศ ทุกคนต้องมองประเทศมองความสำคัญของประชาชนความปลอดภัยของเกษตรกร ผู้บริโภคเป็นหลัก และไม่เชื่อว่าจะมีกรรมการคนใดที่ไม่หารือกับรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องเพราะฉะนั้นการตัดสินใจของทุกคนถือว่าได้หารือกับรัฐมนตรีแล้ว

ด้านนายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย ในฐานะประธานคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทาง ควบคุมการใช้สารเคมีในภาคเกษตรกรรม สภาผู้แทนราษฎร กล่าวถึง แนวทางขององค์กรต่างๆที่เห็นว่า ควรแบน 3 สารพิษสรุปได้ดังนี้ 1. แถลงการณ์ร่วมระหว่างแพทยสภากับสภาเภสัชกรรม 2. ผู้ตรวจการแผ่นดิน

3. รัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง มีความเห็นในทิศทางเดียวกันไม่ว่าจะเป็นนายอนุทิน ชาญวีรกุลกระทรวงสาธารณสุข นายเฉลิมชัย ศรีอ่อน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจกระทรวงอุตสาหกรรมและนางมนัญญา ไทยเศรษฐ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตร 4. กรรมาธิการวิสามัญสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งพิจารณาเรื่องดังกล่าว 5. ภาคประชาสังคม มูลนิธิ โดยเฉพาะองค์กรทางด้านเกษตรปลอดภัยต่างๆ ที่เห็นควรแบน ซึ่งล้วนแต่เป็นองค์กรสำคัญทั้งสิ้น โดยเฉพาะองค์กรที่ต้องดูแลความเจ็บป่วยชีวิตของประชาชนได้แสดงความห่วงใยพี่น้องประชาชน และกรรมาธิการวิสามัญได้นำมาพิจารณา 

โดยนายชวลิต ยืนยันอย่างหนักแน่นและให้ความเห็นไปหลายครั้งว่ากรรมาธิการวิสามัญฯไม่สนับสนุนการใช้สารเคมีอื่นมาทดแทน หรือจะพูดภาษาที่เข้าใจง่ายคือ "จะไม่เตะหมูเข้าปากสัตว์เลี้ยง" อย่างแน่นอน แต่ทางกรรมาธิการจะสนับสนุนโครงการเกษตรอินทรีย์เป็นวาระแห่งชาติ และท้ายที่สุดหากคณะกรรมการวัตถุอันตราย มีมติไม่แบนสารเคมีดังกล่าว ผู้รับผิดชอบนโยบายสูงสุดคือพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะต้องแสดงความรับผิดชอบ เพราะเรื่องดังกล่าวดำเนินการ มาตั้งแต่สมัยพลเอกฉัตรชัย สาริกัลยะเป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นที่เข้าใจตรงกันว่าคือมือทำงานของพลเอกประยุทธ์รวมทั้งเรื่องสารเคมีการเกษตรด้วย 

นายชวลิต เปิดเผยด้วยว่า จากการลงพื้นที่ ด่านเชียงของ จังหวัดเชียงราย ซึ่งมีมูลค่าปีละไม่ต่ำกว่า 2,500 ล้านบาท เป็นที่น่าตกใจเพราะที่ด่านเชียงของ ไม่มีห้องแลปสำหรับตรวจสอบพืชผักผลไม้ แม้แต่เครื่องเดียว ขณะที่ตลาดปลายทางอย่างตลาดไทซึ่งเป็นตลาดรับซื้อผลไม้ที่สำคัญ ต้องไปจัดตั้งห้องแล็บโดยด่วนๆ ดำเนินการโดยทันทีเพราะ ทราบข้อมูลว่าใช้งบประมาณเพียง 20 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเล็กน้อยเมื่อเทียบกับมูลค่าสินค้า ที่เข้ามาจากประเทศจีนกว่าปีละ 2,500 ล้านบาท