ไม่พบผลการค้นหา
หนึ่งเดือนให้หลังการเลือกตั้ง ปรากฎความพิสดารค้านสายตาประชาชนอยู่หลายประการ กกต.กลายเป็น “ตำบลกระสุนตก” ในทางการเมือง เพราะไม่อาจหาคำตอบที่ชัดเจน และปร่งใส มาอธิบายต่อประชาชนได้ นับวันยิ่งบ่อนเซาะความชอบธรรมของการเลือกตั้งครั้งนี้ โดยเฉพาะสามกรณีล่าสุด หนึ่ง การแจ้งข้อกล่าวหาต่อ “ธนาธร”​ ปมโอนหุ้นวีลัคมีเดีย ,สอง การแจกใบส้ม ให้ ว่าที่ ส.ส.เพื่อไทย โดยไม่ชี้แจงหลักฐานให้ชัดเจน และสาม ศาลรัฐธรรมนูญมีมติไม่รับวินิจฉัย วิธีคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ เหล่านี้ทำให้ประชาชนมองไม่เห็นทิศทางของประเทศที่ชัดเจนหลังการเลือกตั้ง และเกิดความไม่เชื่อมั่นต่อเลือกตั้ง

“กติกาที่พึ่งสร้าง” หนุนพลังประชารัฐ​ จัดตั้งรัฐบาล

ครบรอบ 1 เดือนหลังการเลือกตั้ง ในวันที่ 24 เมษายน 2562 ที่ผ่านมา บิ๊กเซอร์ไพรซ์ที่สำคัญ คือการที่ ศาลรัฐธรรมนูญมีมติ 7 ต่อ 2 ไม่รับคำร้องวินิจฉัยกรณีสูตรคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ของ กกต.

และโยนให้การคลี่คลายปมดังกล่าว กลับไปเป็นหน้าที่ของ กกต. หรือนัยหนึ่งเป็นการโยนเผือกร้อนการเมืองกลับไปยัง กกต.

“กรณีดังกล่าวเป็นหน้าที่และอำนาจของ กกต.และข้อเท็จจริงยังไม่ปรากฏว่า กกต.ได้ใช้หน้าที่และอำนาจตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายหมายบัญญัติ”

แนวโน้มที่สำคัญจากมติของศาล รธน.นี้ จะทำให้ กกต. มีอำนาจเต็มในการเคาะวิธีคำนวณ ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ ทำให้พรรคเล็กพรรคน้อย ที่ได้รับคะแนนเสียงน้อยกว่าค่าเฉลี่ยการจะมี ส.ส.พึงมี 1 คน สามารถเข้าสู่สภาฯได้

ที่ต้องหมุดหมายไว้ก็คือพรรคเล็กพรรคน้อยที่เข้าสู่สภาฯ ด้วยสูตรคำนวณพิสดารเช่นนี้ เป็นพรรคที่มีแนวโน้มจะให้การสนับสนุนพรรคพลังประชารัฐ ชู “ประยุทธ์” เป็นนายกรัฐมนตรีคนต่อไป หาก กกต.ตีความสูตรคำนวณปาร์ตี้ลิสต์ ไปในแนวทางนี้ จะยิ่งเซาะกร่อน บ่อนทำลาย ความชอบธรรมและความสง่างามของการเลือกตั้งในครั้งนี้อย่างมาก

กติกาที่พึ่งสร้างของ กกต. หลังการเลือกตั้ง จึงส่งผลกระทบต่อการจัดตั้งรัฐบาลใหม่โดยปริยาย เพราะปฏิเสธได้ยากว่านี่เป็นอีกหนึ่งหนของการผลักดันบังคับใช้กติกาการเมืองที่บิดเบี้ยวเพื่อสืบทอดอำนาจเผด็จการให้ยืนยาวต่อไป

อ่านเพิ่มเติม ปิดเกมส์เร็ว "ธนาธร/ปิยบุตร" - คลอดสูตรพิสดารคำนวณ ส.ส.

กกต.แจก “ใบส้ม”​ เป็นใบแรกแก่ ว่าที่ ส.ส.พรรคเพื่อไทย

กกต. มีมติ สั่งเพิกถอนสิทธิสมัคร “สุรพล เกียรติไชยากร” ว่าที่ส.ส.เขต 8 จังหวัดเชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย ไว้เป็นการชั่วคราว(1ปี) หลังพิจารณาสำนวนสืบสวนที่คณะกรรมการสืบสวน ระบุถึงสาเหตุอย่างกว้างๆ ไว้ว่า

“มีพฤติการณ์ สัญญาว่าจะให้เงินหรือทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดไม่ว่าโดยตรงหรือโดยอ้อมแก่ชุมชน สมาคม มูลนิธิวัด สถานศึกษา สถานสงเคราะห์ หรือสถาบันอื่นใด”

มติดังกล่าวทำให้กกต. ต้องสั่งเลือกตั้งใหม่ในเขตเลือกตั้งที่ 8 จังหวัดเชียงใหม่เพราะ ว่าที่ ส.ส.สุรพล มีคะแนนเลือกตั้งมาเป็นลำดับที่ 1 ด้วยคะแนน 52,165 คะแนน

เมื่อไล่เรียงสาเหตุให้ดี จะพบว่ามีคำถามโยนกลับไปยัง กกต.อีกเป็นจำนวนมาก

เหตุเกิดจาก “กลุ่มคนที่ใช้ชื่อว่า กลุ่มคนจอมทองและผู้รักประชาธิปไตยจอมทอง ร้อง กกต.จังหวัด กล่าวหาว่าการไปร่วมทอดผ้าป่าในพื้นที่เป็นสัญญาว่าจะให้”

ต่อมา นายสุรพล ก็ได้ต่อสู้ข้อกล่าวหา “ยืนยันว่าที่ผ่านมาได้ชี้แจงรายละเอียดแก้ข้อกล่าวหาต่อ กกต. ไปแล้วว่าไม่ได้ร่วมทอดผ้าป่า แต่มีการถวายปัจจัยแก่พระรูปหนึ่ง 2,000 บาทในนามส่วนตัว และไม่เข้าข่ายว่าเป็นสัญญาว่าจะให้ เพราะตามกฎหมายพระภิกษุไม่มีสิทธิออกเสียงเลือกตั้ง และพระรูปดังกล่าวก็มาเป็นพยานชี้แจงข้อกล่าวหาด้วย”

หาก กกต. คลี่คลายปมนี้ได้ไม่ชัดเจน ก็จะสะสมสิ่งบ่อนเซาะความชอบธรรมของการเลือกตั้งไปอีกขั้น เพราะไม่เพียงเป็นการตัดสิทธิ์ ส.ส. 1 ปี ด้วยสาเหตุที่กำกวม แต่ยังต้องอธิบายกับสังคมให้ได้ว่าเพราะเหตุใดคดีในหมวดที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย ถึงดำเนินไปอย่างรวดเร็วผิดหูผิดตา

เหมือนที่ นายสุรพล ถามกลับไปยัง กกต.ว่า “คาดไม่ถึงที่ กกต.จะมีมติเช่นนี้ ทั้งที่ได้ชี้แจงข้อเท็จจริงทั้งหมดไปแล้ว แปลกใจที่ กกต.ตั้งพิจารณาข้อร้องเรียนเฉพาะพรรคการเมืองบางพรรค”

ไม่เพียง “สุรพล” ที่ถาม แต่ประชาชนจำนวนมาก ถามคำถามเดียวกัน

ล่าสุด “สุรพล” ส.ส.เชียงใหม่ 8 สมัย ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมต่อ กกต. ให้ทบทวนมติใบส้มแล้ว ทว่านาทีนี้เมื่อพิจารณาทิศทางลมแล้ว ขอยุติไม่น่าเป็นอื่น!!

กำจัด “ผู้นำ” พรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตย

กกต.มีมติให้แจ้งข้อกล่าวหา “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” หัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ ในฐานะผู้สมัครรับเลือกตั้ง ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อพรรคอนาคตใหม่ ลำดับที่ 1 เป็นผู้มีลักษณะต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ตามบทบัญญัติรัฐธรรมนูญ 2560 มาตรา 98(3) และ พ.ร.ป.เลือกตั้ง ส.ส. พ.ศ.2561 มาตรา 42(3) อันเป็นการฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามกฎหมายเกี่ยวกับการเลือกตั้งและพรรคการเมือง

คณะกรรมการสืบสวนและไต่สวนได้รวบรวมพยานหลักฐานแล้ว มีหลักฐานเบื้องต้นฟังได้ว่า นายธนาธรเป็นเจ้าของหรือผู้ถือหุ้นในบริษัทวี-ลัค มีเดีย จำกัด ซึ่งประกอบกิจการหนังสือพิมพ์หรือสื่อมวลชนใดๆ จำนวน 675,000 หุ้น เลขหมายใบหุ้นตั้งแต่ 1350001-2025000

ประเมินกันว่า กระบวนการปิดเกมส์เร็ว “ธนาธร” ผ่านคดีนี้ หนักที่สุดคืออาจขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัคร ส.ส. ซึ่งในระหว่างการตรวจสอบนี้ กกต. มีอำนาจสั่งระงับสิทธิสมัครรับเลือกตั้งไว้ชั่วคราวเป็นเวลา 1 ปี ก่อนประกาศผลรับรองเลือกตั้งอย่างเป็นทางการภายใน 9 พ.ค.

ถือเป็นการปิดเกมส์เร็วธนาธร เพื่อไม่ให้เข้าสู่สภาฯ

ประเด็นนี้ขัดสายตาของประชาชน นักวิชาการการเงิน และนักกฎหมาย ชัดเจน

เหมือนที่ “สฤนี อาชวนันทกุล” ชี้ว่า “การที่เรื่องนี้มัน "go so big" จนกลายเป็นเรื่องใหญ่ มีนักร้องเรียนไปร้อง กกต. ส่วนตัวเห็นว่าเกิดจากสองเหตุผลหลักเท่านั้น คือ 1) การที่สำนักข่าวอิศราติดตามขุดคุ้ยชนิด "จับผิดทุกเม็ดให้ได้" อาจจะด้วยความเข้าใจผิด(มาก)ว่า กรณีนี้อาจคล้ายกับการซุกหุ้นของทักษิณ ซึ่งข้อเท็จจริงที่อธิบายไปในข้อ 1-3 ก็เห็นชัดแล้วว่าต่างกันหลายโยชน์ ทั้งที่ในความเป็นจริง สำนักข่าวอิศรานั่นเองที่เป็นบ่อเกิดความเข้าใจผิด เพราะข่าวชิ้นแรกๆ ที่เขียนเรื่องนี้ทำให้คนเข้าใจผิดว่า "ธนาธรโอนหุ้นวันที่ 21 มี.ค." ทั้งที่นั่นเป็นเพียงวันที่ที่บริษัทแจ้งการเปลี่ยนแปลงผู้ถือหุ้นต่อกระทรวงพาณิชย์เท่านั้น ไม่ใช่วันที่โอน และ 2) ความ "บ้าจี้" ของ กกต. ที่รับเรื่องร้องเรียนทุกเรื่องตั้งแต่ไม้จิ้มฟันยันเรือรบ โดยไม่พิจารณาว่า "สาระสำคัญ" ของแต่ละเรื่องอยู่ตรงไหน ไม่เคยวางมาตรฐานตรงนี้ให้ชัดเจน”

เหมือนที่ “ปิยบุตร แสงกนกกุล”​ เลขาธิการพรรคอนาคตใหม่ นักกฎหมาย นักวิชาการ ออกมาตั้งโต๊ะแถลงสองวันซ้อนว่า

“ถ้าใครเรียนวิชากฎหมายการโอนหุ้นและเห็นหลักฐานต่างๆ เหล่านี้จะพบว่าเรื่องนี้ไม่มีอะไรสามารถจบได้ทันที แต่ยังมีสื่อสำนักบางสำนักยังคงเผยแพร่ข่าวอย่างต่อเนื่องและชี้นำมากเรื่อยๆ เริ่มมีการพาดหัวข่าวทำให้เรื่องนี้เป็นการทุจริต คอร์รัปชั่น และการซุกหุ้น”

“หากเราใช้มาตรฐานการตรวจสอบของสื่อสำนักนี้ กับนักการเมืองที่มาจากการยึดอำนาจ นักการเมืองที่มาจากการรัฐประหารคงดีกว่านี้”

1 เดือนหลังการเลือกตั้ง จึงดำเนินไปแบบชนิดที่พูดได้ว่า

หนึ่งคือ มุ่งกำหนดกติกาที่ให้ประโยชน์แก่พรรคฝ่ายอประชาธิปไตย

หนึ่งคือมุ่งตัดกำลังพรรคฝ่ายประชาธิปไตยทุกทิศทุกทางเพื่อไม่ให้ตั้งรัฐบาลฝ่ายประชาธิปไตยได้แบบที่ได้ประกาศไปในสัตยาบันแลงคาสเตอร์

และหนึ่งคือมุ่งกำจัดผู้นำ/ผู้เล่นหลักของพรรคการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยแบบที่ปรากฎกับธนาธรในเวลานี้

1 เดือนหลังการเลือกตั้ง จึงเต็มไปด้วยความไม่แน่นอนทางการเมืองอย่างยิ่ง

ยิ่งเมื่อผนวกกับการนับผลคะแนนใหม่ ในเขต 1 นครปฐม ซึ่งปรากฎว่า กกต. ประกาศให้สาวิกา ลิมปะสุวัณณะ ผู้สมัครจากพรรคอนาคตใหม่ ชนะประชาธิปัตย์ไป 62 คะแนน หลังจากก่อนหน้านี้ กกต.ประกาศให้อนาคตใหม่แพ้ 147 คะแนน แต่สาวิกา พบว่า กกต. รวมคะแนนผิดพลาด จึงร้องให้มีการรวมคะแนนใหม่

ทว่า กกต. ประกาศให้นับคะแนนใหม่ทั้งเขต และเมื่อนับคะแนนใหม่ ก็ปรากฎว่า ผลการเลือกตั้งไม่เหมือนเดิม ซึ่งเป็นภาพสะท้อนคุณภาพในการจัดการเลือกตั้งและความโปร่งใสของ กกต. เป็นอย่างมาก!!

กกต.จะตัดสินใจอย่างไรต่อกรณีต่างๆ ที่ได้ไล่เรียงไป อย่าลืมตระหนักถึงความจริงหนึ่งข้อว่า แคมเปญรณรงค์ ลงชื่อ ถอดถอน กกต. ในเว็บ www.change.org “ขณะนี้แคมเปญนี้คือเรื่องที่มีคนลงชื่อมากที่สุดในประวัติศาสตร์ของ Change.org ประเทศไทย” แล้ว!!



วยาส
24Article
0Video
63Blog