ไม่พบผลการค้นหา
หลังจากที่ประชาชนไทยผู้รักประชาธิปไตยได้เรียกร้องกันมาอย่างยาวนานถึงเกือบ 5 ปี ให้มีการจัดการเลือกตั้ง และรัฐบาลได้ให้สัญญาและขอเลื่อนมาตลอดนั้น ปรากฏว่าวันที่ 23 มกราคม 2562 ได้มีการประกาศ “พระราชกฤษฎีกาให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรเป็นการทั่วไป พ.ศ.๒๕๖๒” ลงในราชกิจจานุเบกษา

หากการเลือกตั้งเกิดขึ้นได้จริงตามพระราชกฤษฎีกาดังกล่าว และไม่ถูกขัดขวางหรือดำเนินการใดๆ ที่ทำให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ พรรคการเมืองใดก็ตามที่ชนะการเลือกตั้งและได้จัดตั้งรัฐบาลจำเป็นต้องเตรียมรับมือกับการบ้านหลายข้อในด้านการต่างประเทศของไทย โดยหนึ่งในการบ้านที่สำคัญ ได้แก่ การบ้านด้านความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีน

ในสมัยรัฐบาล พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ความสัมพันธ์ระหว่างไทยกับจีนด้านความมั่นคงมีความสนิทสนมแน่นแฟ้นอย่างมาก

ตั้งแต่ปี 2558 กองทัพบกไทยซื้อรถถังรุ่น VT-4 จากจีน 28 คัน มูลค่า 4,985 ล้านบาท และในปี 2560 ก็มีการซื้อรถถังรุ่น VT-4 อีก 10 คัน เป็นมูลค่า 2,017 ล้านบาท และจะมีการซื้อรถถัง VT-4 อีกเพื่อให้ครบ 1 กองพัน ซึ่งต้องประกอบด้วยรถถัง 49 คัน โดยรถถัง VT-4 นี้ เป็นรถถังที่มีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุดของจีนและจีนขายให้ไทยเป็นประเทศแรก

นอกจากนี้ กองทัพเรือได้ซื้อเรือดำน้ำรุ่น Yuan Class S26T เป็นเรือดำน้ำขนาดกลาง สามารถดำน้ำได้นาน 21 วัน และสามารถติดตั้งอาวุธนำวิถี กองทัพไทยมีแผนซื้อจำนวน 3 ลำ ลำละ 13,500 ล้านบาท มูลค่า 3 ลำรวมอยู่ที่ 40,500 ล้านบาท และอนุมัติจัดซื้อเรียบร้อยแล้ว 1 ลำ 

ต้นปี พ.ศ.2561 ไชน่าชิปบิวดิงอินดัสทรีคอร์ปอเรชั่น (China Shipbuilding Industry Corporation หรือ CSIC) ซึ่งเป็นวิสาหกิจของทางการจีนได้ทำข้อตกลงร่วมพัฒนายุทโธปกรณ์และเทคโนโลยีทางการทหารร่วมกับกองทัพไทย โดยมีเงื่อนไขว่าการถ่ายทอดเทคโนโลยีด้านความมั่นคงจากจีนให้ไทยจะต้องไม่เป็นอันตรายต่อการพัฒนาเทคโนโลยีด้านความมั่นคงของจีน ทั้งนี้ มีข่าวว่าจีนจะขายเทคโนโลยีระบบการขับเคลื่อนแบบ Air-Independent Propulsion หรือ AIP ให้กับกองทัพเรือไทย

แต่ปรากฏว่าเมื่อมองไปที่ด้านอื่นนอกจากด้านความมั่นคง ไทยเผชิญปัญหาไม่ใช่น้อย

ในภาคการค้า เมื่อมองภาพรวมมูลค่าการค้าต่อปีเพิ่มสูงขึ้นจริง แต่เมื่อแจกแจงรายละเอียด กลับพบว่า จีนรับซื้อสินค้าจากไทยลดลงทุกปี ไทยขาดดุลการค้าจีนมากขึ้นเรื่อยๆ โดยปลายปี พ.ศ. 2561 ไทยขาดดุลมากถึง 4.8 แสนล้านบาท ยิ่งเมื่อจีนทำสงครามการค้ากับสหรัฐฯ จีนได้ส่งสินค้าที่ไม่สามารถส่งไปขายสหรัฐฯได้มาขายในกลุ่มอาเซียนและประเทศไทย 

ในภาคบริการ ไทยพยายามดึงดูดให้ชาวจีนมาลงทุนเปิดกิจการในประเทศไทย แต่ปรากฏว่าจีนหาทางซิกแซกแสวงประโยชน์ด้วยการใช้นอมินีบ้าง หรือใช้พนักงานจีนสวมบัตรประชาชนไทยบ้าง ที่ถูกจับกุมมักเป็นบริษัทนำเที่ยวเพราะบริษัทไทยที่เป็นคู่แข่งพร้อมชี้เบาะแสนำจับ แต่กิจการประเภทอื่นๆ ที่อิงแอบอิทธิพลก็เกินมือเจ้าหน้าที่ระดับล่างจะเอื้อมถึง 

ในภาคการท่องเที่ยว แต่เดิมดูเป็นภาคที่สร้างรายได้เข้าประเทศได้อย่างงดงามกว่าด้านอื่น เป็นภาคเดียวที่ไทยได้เปรียบจีนได้เงินจีน ถึงแม้จะมีปัญหาทัวร์ศูนย์เหรียญและปัญหานอมินีจีน แต่ก็เป็นสัดส่วนที่เล็กน้อยมากเมื่อเทียบกับรายได้ที่ไทยได้จากนักท่องเที่ยวจีน กล่าวได้ว่าในภาวะที่เศรษฐกิจของยุโรปและอเมริกาซบเซา การท่องเที่ยวของไทยได้รายได้จากนักท่องเที่ยวจีนหล่อเลี้ยงต่อลมหายใจ ข้าราชการและภาคเอกชนไทยทำงานอย่างหนักเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยวของนักท่องเที่ยวจีนในไทย และวาดเป้าหมายว่าจะสามารถดึงนักท่องเที่ยวจีนให้ได้ปีละ 10 ล้านคน 

แต่ปรากฏว่าในเดือนกรกฎาคม 2561 โซเชี่ยลมีเดียของจีนได้ประโคมข่าวที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคงของไทยให้สัมภาษณ์ความเห็นเกี่ยวกับเหตุการณ์เรือล่มที่จังหวัดภูเก็ต ซึ่งมีนักท่องเที่ยวจีนเสียชีวิต 41 ราย ผลปรากฏว่ากระแสโกรธแค้นลามไปทั่วประเทศจีนอย่างรวดเร็ว สื่อมวลชนจีนหลายสำนักหันมาทำข่าวดังกล่าว เกิดการรณรงค์ให้ชาวจีนเลิกมาท่องเที่ยวเมืองไทย ส่งผลให้มีการยกเลิกแพ็จเกจทัวร์และการจองโรงแรม จำนวนนักท่องเที่ยวจีนลดลงครั้งใหญ่

จนพล.อ.ประวิตร ต้องยินยอมกล่าวขอโทษ แต่ก็ไม่อาจบรรเทาผลกระทบที่เกิดขึ้นได้ นักท่องเที่ยวจีนที่เคยคราคร่ำตามเมืองท่องเที่ยวของไทยในช่วงฤดูท่องเที่ยว ยังคงลดจำนวนลงอย่างต่อเนื่อง ในช่วงระยะเวลาไม่กี่เดือนบรรดาโรงแรมขนาดเล็กและขนาดกลางตามเมืองท่องเที่ยวสำคัญอย่างเชียงใหม่และภูเก็ตได้ปิดกิจการหรือประกาศขายกิจการเป็นจำนวนมาก ลุกลามเหมือนไฟป่าไปถึงกิจการอื่นๆ ที่อาศัยรายได้หลักจากการท่องเที่ยว ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของบรรดาเมืองท่องเที่ยวสำคัญต่างๆ และกระทบต่อปากท้องของประชาชนนับล้าน

ล่าสุดทางการไทยได้จัดงาน We Care About You เชิญนักท่องเที่ยวจีนร่วมกินเลี้ยงข้าวเหนียวมะม่วงหนัก 4.5 ตัน เพื่อเป็นการโปรโมทอาหารไทยและ “ง้อ” นักท่องเที่ยวจีนให้กลับมาเยือนไทย แต่ปรากฏว่าผลตอบรับในโซเชียลมีเดียของจีนก็ไม่ได้ออกมาในทางชื่นชมไทยอย่างที่ทางการไทยคาดหวัง ตัวอย่างคำวิจารณ์ที่ได้รับการแชร์ต่อมากที่สุด เช่น “ถ้าอยากดึงดูดนักท่องเที่ยวจีนควรแก้ปัญหากฎระเบียบความปลอดภัย ไม่ใช่เอาของกินมาล่อ เหมือนเห็นคนจีนเป็นคนตะกละ” และ “ถ้าอยากโปรโมทอาหารไทยให้นักท่องเที่ยวจีนรู้จัก ทำไมไม่จัดงานเลี้ยงในประเทศจีน ที่จริงแค่ตั้งบูทยืนแจกคนละนิดหน่อยตามห้างสรรพสินค้าในจีน น่าจะได้ผลดีกว่า” เป็นต้น 

ดังนั้น พรรคการเมืองใดก็ตามที่ชนะการเลือกตั้งและได้จัดตั้งรัฐบาล ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญกับความสัมพันธ์ไทยกับจีนด้านความมั่นคงซึ่งแนบแน่นอยู่แล้ว แต่ต้องเร่งรีบหาทางแก้ปัญหาการขาดดุลการค้ากับจีน และแก้ปัญหาภาพลักษณ์ของไทยในสายตานักท่องเที่ยวจีน จึงจะสร้างประโยชน์ให้กับประชาชนในวงกว้างอย่างแท้จริง สมกับที่เป็นผู้แทนราษฎรที่ได้รับการเลือกตั้งโดยชอบธรรมจากประชาชน