ไม่พบผลการค้นหา
ประธาน นปช. หวั่น ต.ค. เหตุการณ์ไม่ปกติ ชี้สภาเป็นที่หวังไม่ได้ แนะนายกฯ ยุบสภา ย้ำไม่ขวางคนเสื้อแดงร่วมชุมนุมทางการเมือง เตือน บก.ฟ้าเดียวกัน กล่าวหาตัวเองหนุนข้อเรียกร้องแค่ 3 ข้อรอดติดคุกคดีบ้านสี่เสาฯ จะเอาผิดทางคดี

เมื่อวันที่ 27 ก.ย. จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวในรายการลมหายใจ พีซทีวี เวทีทัศน์ ว่า สถานการณ์บ้านเมืองในเดือนตุลายังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ และอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมานั้นสิ่งที่ตนพยายาม คือการติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด และหลายคนอาจจะรู้สึกขัดใจ แต่ที่สำคัญที่สุดคือสงครามคราวนี้ไม่เหมือนเดิม และตนต้องคิดให้มากกว่าคนอื่น สิ่งสำคัญที่สุดคือ เราจะใช้แค่อารมณ์ความรู้สึกสะใจ รวมถึงการรบท่ามกลางความไม่พร้อม ทั้งที่มีโอกาสรบได้เพียงครั้งเดียวนั้น ตนจึงยังไม่ขยับ ซึ่งไม่ได้แปลว่าไม่รบ หากจะออกไปก็จะใช้ครั้งเดียวของตนให้คุ้มค่ามากที่สุด และจริงๆแล้วเดือน ก.ย.จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างน้อยไม่ต่ำกว่า 4 ครั้ง ดังนั้นที่ตนแหย่ไปแหย่มานั้นเพราะตนรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นในทางการข่าว วันนี้เราเดินในเส้นทางมาไกลมาก กว่า 10 ปีนี้คนเสื้อแดงเป็นมนุษย์ที่เจ็บช้ำระกำใจมากที่สุดในโลก ไม่มีใครเจ็บเท่ากับคนเสื้อแดงอีกแล้ว ไม่ได้รับทั้งความยุติธรรมและตายมากที่สุด ซึ่งตนรู้และในฐานะที่ตนยืนเป็นหัวแถว ก็ต้องรู้สถานการณ์ที่เป็นจริง เพราะนี่ไม่ใช่การต่อสู้ครั้งแรก และมองเห็นทุกกระดานแล้ว

จตุพรกล่าวว่า ระยะเวลาร่วมกว่า 30 ปีบนถนนการต่อสู้นั้น ตนอยู่บนถนนมากกว่าในสภา และวันนี้ก็อยู่บนถนน เพียงแต่เราต้องมีความยับยั้งชั่งใจว่า หากยังไม่ใช่ก็ต้องใจเย็นๆ การอดทนรอคอยเพื่อชัยชนะของประชาชนนั้นเป็นเรื่องที่มีความสำคัญที่สุด และตนยืนยันว่างานศพของตนนั้นต้องเป็นงานศพของนักสู้เพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่งานศพของคนขี้ขลาดตาขาวในสนามนี้ และตนไม่ขัดข้องแม้แต่น้อยหากพี่น้องคนเสื้อแดงจะออกไปต่อสู้เพราะเป็นสิทธิเสรีภาพ แต่การที่ตนยังไม่ออกไปรวมถึงเห็นด้วยเฉพาะกับ 3 ข้อเรียกร้องของเยาวชนปลดแอก ทำให้ถูกวิจารณ์สาดเสียเทเสีย ยกตัวอย่างเช่น บก.ฟ้าเดียวกัน ซึ่งเป็นมืองานของธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กล่าวใส่ร้ายตนว่า เพราะเห็นด้วยกับ 3 ข้อเสนอเท่านั้นจึงไม่ติดคุกในคดีชุมนุมหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ ดังนั้นตนให้เวลาภายในสิ้นเดือนนี้แก้ไขตัวเอง หากยังเพิกเฉยตนก็จะดำเนินคดีให้เป็นเยี่ยงอย่าง

จตุพร กล่าวอีกว่า สถานการณ์ในเดือน ต.ค.นี้ต่างฝ่ายต่างก็รู้ว่าเป็นสถานการณ์แห่งความผิดปกติ ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้ง 6 ฉบับนั้น เป็นของพรรคฝ่ายค้าน 5 ฉบับแรกของรัฐบาล 1 ฉบับ ซึ่งก่อนหน้านี้วิปทั้งสองฝ่าย ตกลงกันว่าจะให้ผ่านร่างเดียวคือร่างของรัฐบาล แก้ไขมาตรา 256 ซึ่งมีความแตกต่างกันในเรื่องที่มาของ ส.ส.ร. ดังนั้นสิ่งที่ต้องคิดวันนี้ การไปหาทางออกโดยการตั้งกรรมาธิการหลังจากการอภิปรายเสร็จสิ้นนั้นเป็นปรากฎการณ์แรกของประเทศไทย และสถานการณ์ในวันนี้ตนมองว่าคนมองเลยสภาไปแล้วว่า สภาเป็นที่พึ่งที่หวังอะไรกันไม่ได้ เพียงแต่ว่ากระดานต่อไปจะเป็นอย่างไร ตนจึงพยายามหาทางออกที่ดีที่สุด เรียกร้องให้รัฐบาลยุบสภาคืนอำนาจให้กับประชาชน