ไม่พบผลการค้นหา
ในวันที่คลื่นลมการเมืองโหมกระหน่ำ 'ธนาธร' ยินดีเปิดบ้านให้นั่งคุยสัพเพเหระกับภรรยา ตั้งแต่เรื่องบริหารจัดการเงิน ดูแลบ้าน เลี้ยงลูก และความโรแมนติกของสามีภรรยา

บทบาทหน้าที่ของ 'ธนาธร' ในวันนี้ จากนักธุรกิจในอุตสาหกรรมชิ้นส่วนยานยนต์ สู่ 'นักการเมืองปีกประชาธิปไตย' เป็นอีกหนึ่งบทชีวิตที่เขาและคนในครอบครัวต้องผนึกกำลังร่วมเดินทางไปด้วยกัน และไม่บ่อยนักที่ 'รวิพรรณ-ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' จะเปิดบ้านให้สัมภาษณ์ถึงชีวิตครอบครัว การดูแลลูกๆ และการรักษาพื้นที่ส่วนตัวกับพื้นที่สาธารณะ ในวันที่เป็น 'นักการเมืองเต็มเวลา'

ทั้ง 'รวิพรรณและธนาธร' บอกว่า ตลอด 10 กว่าปีที่อยู่ด้วยกัน สิ่งที่ทั้งคู่ตกลงร่วมกันแต่แรกคือ การให้ 'สเปซ' หรือ 'พื้นที่ส่วนตัว' ของกันและกัน เป็นการให้เกียรติซึ่งกันและกันในเรื่องการงาน แบ่งหน้าที่รับผิดชอบชัดเจน พร้อมกับให้ความเข้าใจ ให้กำลังใจกัน 

ส่วนเรื่องการเมือง นับตั้งแต่เป็นแฟนจนมาอยู่เป็นคู่สามีภรรยา 'ธนาธร' บอกว่า "การที่มาถึงตรงนี้ร่วมกันได้ค่อนข้างราบรื่น เพราะผมและคุณวิ (คำที่ธนาธรเรียกภรรยา) คุยกันเรื่องพวกนี้ตั้งแต่รู้จักกันแรกๆ คุณวิเห็นผมสนใจเรื่องการบ้านการเมือง สนใจปัญหาสังคม ความเท่าเทียม เขาเห็นหลายครั้งว่า ผมโกรธแค้น ผมเศร้า ผมโมโหกับสภาวะบ้านเมืองตลอดกว่า 10 ปีที่ผ่านมา พอเราตัดสินใจเป็นคนทำเอง เขาจึงเข้าใจเรา"

ขณะที่ 'รวิพรรณ' บอกว่า "คือรู้ว่าห้ามไม่ได้ ก็เลยต้องทำให้ดีที่สุด เพราะเรารู้ว่า สิ่งนี้เป็น passion เป็นความใฝ่ฝันของเขา เป็นจิตวิญญาณของเขา ถ้าเขาไม่ได้ทำตรงนี้ เขาคงรู้สึกว่าตายตาไม่หลับ หรือแก่ชราไปด้วยความรู้สึกว่า ชีวิตมันยังไม่ fulfill ยังไม่เต็ม"

ในช่วงเวลาปีกว่าที่ผ่านมา บนเส้นทางชีวิตนักการเมืองของสามี ซึ่งไม่ได้ราบรื่นเลย 'รวิพรรณ' บอกว่า ก็ต้องอาศัยความเข้าใจกันอย่างมาก ส่วนตัวเธอก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีที่สุด ทั้งเรื่องดูแลลูกๆ ดูแลจัดการบ้าน และที่สำคัญคือเวลาที่ 'คุณเอก' (คำที่รวิพรรณเรียกสามี) อยู่บ้าน จะพยายามทำให้เขารู้สึกสบายใจ รีแลกซ์ ไม่เพิ่มความเครียด หรืออะไรที่เป็นเรื่องหยุมหยิมที่เราจัดการได้ เราก็จัดการไป


"ส่วนกระแสข่าว หรือ ข้อความต่างๆ ที่ผ่านเข้ามาจากหลายๆ ช่องทางที่เข้ามาถึงเรา เราก็ต้องใช้สติ แล้วกลั่นกรอง และที่สำคัญเราก็ต้องเชื่อคนที่อยู่ข้างเรามากที่สุด ก็ต้องเชื่อคนของเรา เพราะเราก็ร่วมทุกข์ร่วมสุขด้วยกันมาหลายปี เรารู้ว่าคุณเอกเป็นคนยังไง รู้ว่า passion ของเขาคืออะไร ความฝันของเขาคืออะไร สิ่งเหล่านี้เหมือนเป็นหลักยึดว่า ความจริง ความถูกต้องอยู่ตรงนี้ ส่วนที่เหลือเราก็ต้องค่อยๆ ใช้สติ"


"ส่วนคดีความต่างๆ เราก็รู้อยู่แล้วว่าอะไรคือความถูกต้อง เรารู้ว่า เราไม่ได้ทำอะไรผิด รู้ว่าเราถูกกล่าวหา ดังนั้น ก็ได้แต่เดินหน้าสู้ด้วยกติกาที่ถูกต้อง ก็ต้องให้กำลังใจกัน และให้กำลังใจตัวเองว่าเราจะอ่อนไหว เราจะกลัวไม่ได้ เพราะถ้าเราเครียดหรือกลัว ก็จะช่วยให้กำลังใจเขาไม่ได้ แล้วลูกๆ ก็จะพลอยเครียดหรือรับรู้เรื่องนี้ไปด้วย" รวิพรรณ กล่าว

ธนาธร-รวิพรรณ

"เขาใจเย็น เขาเป็นเหมือนสายน้ำ" 

'ธนาธร' เล่าว่า ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา เคยทะเลาะกับภรรยาแค่ครั้งเดียว ที่สำคัญภรรยาเป็นคนใจเย็นมาก เธอเป็นเหมือนสายน้ำ และด้วยคุณสมบัตินี้ทำให้ในวันนี้ เมื่อเขาเข้ามาเป็นนักการเมือง เขาไม่ต้องพะวักพะวงเรื่องข้างหลัง เขาสบายใจได้ และก้าวไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคง 

"ตั้งแต่อยู่ด้วยกันมา ทะเลาะกันครั้งเดียว และคุณวิก็เป็นคนใจเย็นจริงๆ เขาเป็นเหมือนสายน้ำ เขาไม่ค่อยโกรธ"

ส่วน 'รวิพรรณ' บอกว่า "ไม่ใช่ไม่เคยโกรธ แต่เวลาวิโกรธ คุณเอกก็อาจไม่รู้ตัว เขาไม่รู้ว่าเราโกรธ จนเราหายโกรธไปเอง อีกอย่างเราไม่ใช่พวก emotional ที่โกรธแล้วต้องมาเคลียร์ๆ กันตรงนั้น เวลาวิโกรธ ก็จะนิ่ง พอไปทำอะไรอย่างอื่นสักพักก็หาย และเราก็จะไม่หมกหมุ่นกับอะไรที่มันเป็นด้านลบ" ขณะที่ 'ธนาธร' หยอกกลับว่า เวลาผมโกรธ คุณวิก็ไม่รู้ แล้วทั้งคู่ก็เกี่ยงกันว่า ใครขี้งอนกว่ากัน 


ถึงวันนี้ ทั้งคู่มีลูกชาย-หญิง 4 คน คนโตอายุ 10 ขวบ คนที่สอง 8 ขวบ คนที่สาม 4 ขวบ และคนที่สี่ 10 เดือน ซึ่ง 'ธนาธร' บอกว่า เป้าหมายของเขาในฐานะพ่อและหัวหน้าครอบครัวคือ พยายามเป็นพ่อบ้านให้ดีที่สุด ให้มีเวลากับลูกๆ ให้เยอะที่สุด ถ้าลูกปิดเทอม และเขาลงพื้นที่ ก็พยายามพาลูกไปด้วย ซึ่งเด็กๆ ก็ชอบ ที่ได้ไปต่างจังหวัด 

"เรื่องเวลา พอคุณเอกมาทำงานการเมืองมันก็รัดแน่นจริงๆ โดยเฉพาะช่วงเลือกตั้ง กับช่วงจัดตั้งรัฐบาล แต่พอหมดช่วงนั้น ตอนนี้ก็ถือว่า กลับเข้าสู่ภาวะโอเค นะ ปกติ แม้เสาร์-อาทิตย์คุณเอกต้องไปลงพื้นที่ไปทำงาน แต่คุณเอกก็เป็นคนน่ารัก เป็นคนให้ความสำคัญกับครอบครัว กับลูกๆ มาก ถึงเขาติดงานแต่พอเลิกงาน เขาก็กลับบ้านมาเจอลูก กลับมากินข้าว เล่นเกมกับลูก ถ้ามีเวลา 2-3 ชั่วโมงก็ชวนลูกชายคนโตเล่น ROV เล่น StarCraft ซึ่งลูกก็ชอบที่พ่อมาเล่นเกมด้วย"

"ถึงเวลาทำกิจกรรมร่วมกันนานๆ ทั้งครอบครัวอย่างแต่ก่อนจะน้อยลง แต่ถ้ามีเวลานิดๆ หน่อยๆ ในแต่ละวัน คุณเอกก็จะพยายามใช้กับลูก อย่างค่อนข้างทั่วถึง อย่างลูกคนเล็ก คุณเอกก็จะพาเดินเล่นรอบหมู่บ้าน พาเดินดูนก ดูไม้ ดูกบตามประสา ซึ่งเราถือว่า ช่วงนี้ลูกๆ เขาก็ไม่ได้ห่างพ่อ" รวิพรรณ เล่าเสริม

อย่างไรก็ตาม 'ธนาธร' ก็ยอมรับว่า พอมีลูก ความโรแมนติกระหว่างคู่รักก็น้อยลง เพราะมีลูกคนเล็กนอนในห้องเดียวกันตลอด ดังนั้นเวลาที่จะอยู่ด้วยกันสองคนจึงน้อยลง และตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ในห้องก็จะมีลูกคนเล็กนอนข้างๆ ตลอด พวกเขามีคนเล็กตลอดเวลา พอคนหนึ่งโตไป ก็จะมีอีกคนเล็กตามมา

แต่ความรักและความเข้าใจระหว่างกันยิ่งพอกพูนมากขึ้น และเขาบอกว่าต้องขอบคุณคุณวิ เรื่องแรกคือ เรื่องลูกๆ ที่มีคุณวิดูแลเป็นหลัก ต่อมาก็เรื่องการจัดการบ้าน ซึ่งเขาบอกว่างานบ้านมีภาระเยอะมาก ตั้งแต่เรื่องขยะ น้ำ ไฟ อินเทอร์เน็ต ปริ้นเตอร์ เรื่องเหล่านี้คุณวิจัดการทั้งหมด และช่วยแบ่งเบาของตนไปได้เยอะ

ธนาธร เล่าด้วยว่า ภรรยาของเขาไม่ได้ทำหน้าที่เพียงสนับสนุนดูแลเขาเท่านั้น แต่ได้ช่วยดูแลไปถึงครอบครัว ถึงคุณแม่ (สมพร จึงรุ่งเรืองกิจ) พี่น้อง ซึ่งมีอะไรก็มักฝากคุณวิจัดการทำให้ ดังนั้น ธนาธรจึงพูดอย่างหนักแน่นว่า "คุณวิเป็นกำลังสำคัญของครอบครัว"

ธนาธร-รวิพรรณ

เงินติดตัวไม่ค่อยมี เพราะเรื่องเงิน 'ให้เมียคุม'

'ธนาธร' เล่าเรื่องสำคัญอีกเรื่องว่า เขาและภรรยาคุยกันเยอะ คุยกันชัดเจนว่า เรื่องเงิน ให้คุณวิดูแล ดังนั้นที่ตัวเขาจึงไม่มีสมุดเช็ค ไม่มีอี-แอคเคาต์ ไม่ได้ถืออะไรไว้กับตัวเอง 


"หลายคนอาจไม่เชื่อ คือถ้าวันนี้ ให้ผมโอนเงินสัก 50,000 บาท ผมต้องไปขอภรรยาให้โอนเงินให้ หรือถ้าผมจะไปเที่ยว หรือ ยืมเงินใครมาใช้ ผมต้องบอกคุณวิโอนเงินคืน ผมบอกคุณวิชัดเจนว่า เรื่องเงิน เรื่องบ้าน คุณวิบริหารจัดการไปเลย ผมจะไม่ยุ่ง"


ส่วน 'รวิพรรณ' ขยายความเรื่องนี้ว่า ตอนสามีทำงานที่บริษัท เรื่องเงินจะมีเลขาฯ ช่วยจัดการให้ โดยมีธนาธรเป็นคนสั่งการ แต่พอเขาออกมาจากบริษัท คนดูแลจึงเป็นตนเอง เพราะธนาธรไม่ชอบพกเงินสด จนเป็นที่รู้ในหมู่เพื่อนฝูงและคนใกล้ชิดว่า ธนาธรยืมเงินเพื่อนจ่ายค่าอาหาร ยืมเงินคนขับรถซื้อของเล็กๆ น้อยๆ ตามร้านสะดวกซื้อ

"ผมนี่ ไม่มีบัตรเอทีเอ็มด้วย ซึ่งคุณวิก็จะเป็นคนเก็บสมุดบัญชีผม เวลาผมออกไปทำงาน ทุกวันก็จะขอเงินคุณวิ (คุณวิบอกเป็นค่าขนม) ซึ่งส่วนใหญ่ก็ให้เป็นก้อน ครั้งหนึ่งก็ 2-3 พันบาท พอหมด ผมก็จะมาขอใหม่" ธนาธรเล่าไปยิ้มไป 

"บางที ก็จะชอบมีคนโน่นคนนี้ มาบอกกับวิว่า เออ คุณเอกมายืมตังค์ เขาก็จะมาทวงคืนที่วิ เพื่อนๆ ก็จะรู้ อย่างบางทีออกไปข้างนอกจะแวะตามร้านสะดวกซื้อต่างๆ เขาก็จะให้คนขับรถวิ่งไปซื้อให้ก่อน แล้วเขาก็ให้มาเก็บเงินที่วิ" รวิพรรณ เสริม

หรือกระทั่งวันที่นักการเมืองต้องเปิดเผยบัญชีทรัพย์สินและหนี้สิน 'ธนาธร' จึงทำให้ชัดเจนว่า มีอะไรอยู่ตรงไหน พร้อมกับความตั้งใจจะนำทรัพย์สินของตนเข้าไปอยู่ใน Blind Trust โดยเมื่อวันที่ 18 มี.ค. 2562 ที่ผ่านมา 'ธนาธร' ได้ประกาศการลงนามในเอ็มโอยูร่วมกับ บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน ภัทร จำกัด ในเรื่องการนำทรัพย์สินของตนไปให้บริษัทจัดการทรัพย์สินบริหารจัดการในรูปแบบ blind trust หรือกองทุนที่มีบุคคลที่สามดูแล โดยตัวธนาธรจะไม่รับรู้ มองไม่เห็นว่ากองทุนลงทุนอะไรบ้าง เพราะอำนาจการบริหารจัดการทรัพย์สินจะอยู่ที่กองทุนผู้ได้รับมอบอำนาจ 

พร้อมเงื่อนไขว่า 'ธนาธร' จะกลับเข้ามามีกรรมสิทธิ์บริหารจัดการทรัพย์สินได้อีกครั้ง ภายหลัง 3 ปีหลังพ้นตำแหน่งทางการเมือง

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากปัจจุบัน 'ธนาธร' ถูกให้งดการปฏิบัติหน้าที่ ส.ส. ตามคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ จากปมเรื่อง 'หุ้นสื่อ' เขาจึงยังไม่ได้เป็น ส.ส. ในสภาฯ เต็มรูปแบบ และข้อสัญญาเรื่องนำทรัพย์สินเข้า Blind Trust ของเขากับ บลจ. ภัทร จึงยังเป็นเพียงข้อตกลงความเข้าใจ (MOU) ซึ่ง 'ธนาธร' ย้ำว่า เมื่อใดที่เข้ากลับเข้าไปทำหน้าที่สมาชิกสภาผู้แทนราษฏร (ส.ส.) แล้ว ก็จะทำสัญญาและโอนทรัพย์สินไปให้ บลจ.ภัทรดูแลตามที่ประกาศและให้สัญญากับประชาชนไว้

"วันที่ผมโอนทรัพย์สินให้ภัทรดูแล ผมแฟร์ขนาดที่จะเปิดเนื้อหาสัญญาให้สาธารณชนดูได้ด้วย ซึ่งได้บอกกับผู้ดูแลทรัพย์สินไว้แล้วว่า สัญญาจะเปิดให้สาธารณชนดู แต่จะปิดเฉพาะค่าธรรมเนียม (ค่าฟี) และจะเซนเซอร์แต่เนื้อหาที่เป็นของผมกับภัทรตรงๆ เท่านั้น เพราะผมไม่มีอะไรปิดบัง ตั้งใจจะโปร่งใสต่อสาธารณชนขนาดนั้น เพื่อสร้างมาตรฐานการเมืองใหม่ ของนักธุรกิจที่จะเข้ามาทำงานการเมือง" ธนาธร กล่าว

ธนาธร-รวิพรรณ

เลี้ยงลูกให้เติบโตอย่างมีคุณภาพ

ในฐานะพ่อและแม่ของลูก 4 คนที่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ 'ธนาธร' บอกว่า ในเรื่องการเลี้ยงลูก เขาก็ปล่อยให้ลูกๆ ได้เรียนรู้ด้วยตัวเอง ได้เล่น ได้ผจญภัย เพราะส่วนตัวเชื่อว่า การมีชีวิตอยู่กับท้องฟ้า สายลม แสงแดด เปื้อนโคลนบ้าง เล่นตากฝนบ้าง จะทำให้เด็กๆ เติบโตโดยเข้าใจชีวิต มีความคิดสร้างสรรค์ และเติบโตเป็นผู้ใหญ่ที่ดี มากกว่าจะไปกำกับดูแลว่าชั่วโมงนี้ต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ 

"ผมเปิดโอกาสให้เด็กๆ ได้มีโอกาสเลือกมากที่สุด แล้วให้เวลาเขา อยู่กับเขา ใช้ชีวิตร่วมกับเขา อย่างเกม ROV เล่น minecraft ผมเล่นเป็น เพราะลูกชาย ผมเล่นกับเขา เป็นส่วนหนึ่งของเขา ตีแบด เตะฟุตบอลกับเขา ซึ่งผมคิดว่าการทำกิจกรรมร่วมกัน ถือเป็นวิธีที่ดีที่สุดที่จะใช้ชีวิตกับลูก" 

"ถ้าเขาเป็นเด็กเกเร ก็ต้องถามว่า นิยามคำว่าเกเรคืออะไร ขนาดไหน ถ้าเกเรคือไม่ฟังครูบ้าง โดดเรียนบางครั้งบางคราว ผมก็อาจจะยักไหล่ แต่ถ้าถึงขนาดติดยาเสพติด อันนี้ก็ต้องเข้าไปดูแลใกล้ชิด แต่ผมไม่มีปัญหาที่เด็กจะเป็นตัวของตัวเอง ทำอะไรฝ่าฝืนคำสั่ง หรือไม่เห็นด้วยกับกฎ ตราบใดที่เขาอธิบายได้" 

"ยิ่งเมื่อเราทำงานเยอะขึ้น ไม่ค่อยมีเวลาอยู่กับเขา เราก็ต้องบอกกับเขามาก บอกทุกวัน โดยเฉพาะวันที่เขาอาจจะไปได้ยินเรื่องราวของเราจากบุคคลอื่น อันนี้เป็นเรื่องน่ากลัว เพราะเราไม่รู้ว่า ข้างนอกพูดถึงเราอย่างไร แต่เราจะพูดให้เขาฟังตลอดว่าเรายืนยันเพื่ออะไร เราต่อสู้เพื่ออะไร เราอยากให้เขาหนักแน่นพอ ที่จะไม่หลงไปเชื่อคำพูดของบุคคลอื่นเรื่องจุดยืนทางการเมืองของคุณพ่อของเขา ซึ่งที่ผ่านมา ส่วนใหญ่ลูกยังได้ยินเรื่องที่ดีอยู่นะ คงเพราะจุดยืนของเรา มันไม่ได้ผิด และเขาเรียนในโรงเรียนที่เชื่อเรื่องความเท่าเทียมของคนด้วย" ธนาธร กล่าว

ส่วน 'รวิพรรณ' บอกว่า การเลี้ยงลูกของบ้านนี้ คือเธอตั้งใจให้ลูกเป็นเด็กที่มีคุณภาพ ได้รับความอบอุ่น และคิดเองได้ ยกตัวอย่าง เรื่องการใช้ของ เรื่องบริหารจัดการเงิน ซึ่งตอนนี้ลูกยังเล็ก แต่คนโตก็เริ่มจะได้ลองให้ดูแลเรื่องเงินค่าขนม หรือ เงินที่เขาได้รับจากญาติผู้ใหญ่เองบ้างแล้ว จากแต่ก่อนแม่จะเก็บให้ ตอนนี้ ก็เริ่มปล่อยให้เขาเก็บเอง เขาก็เริ่มเรียนรู้ว่า ถ้าเขาอยากได้อะไร เขามีเงินของเขา แต่โชคดีคือ ถ้าเขาจะซื้ออะไร เขาจะมาบอกมาเล่าแม่ก่อน 

"ที่ผ่านมา ทั้งคุณเอกและวิเลี้ยงลูกแบบไม่ได้ให้ทุกอย่างที่เขาอยากได้ เอาตรงๆ เราเลี้ยงพวกเขาแบบคนธรรมดาทั่วไป เวลาเขามาขออะไรแพงๆ เราก็ไม่ได้ให้ทุกครั้ง เช่น จะเอาคอมพิวเตอร์ไปโรงเรียน ถ้าไม่ใช่เพราะโรงเรียนแจ้งมาว่าต้องให้เอาไป เราก็จะยื้อไปเรื่อยๆ หรือ เอาไปเขาก็ไม่ได้เครื่องใหม่เอี่ยม แต่เป็นเครื่องที่เรามีอยู่ที่บ้านซึ่งมันไม่ได้เก่า แต่ลูกก็มีงอแงบ้าง งอนบ้าง เราก็อธิบายเหตุผลไป เขาเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง แต่โอเคที่เขาไม่ดื้อดึง จะเอาให้ได้ เป็นต้น" รวิพรรณ บอกเล่า

แล้วผลของความใจแข็งของแม่ ก็ปรากฎในวันหนึ่งที่ลูกสาวคนที่สองมาเล่าว่า เพื่อนชอบวางไอแพดลงพื้นแรงๆ พอลูกสาวทักว่า วางแรงมันจะเสียนะ แล้วเพื่อนตอบมาว่า มันไม่เสียหรอก ถึงเสียก็ซ่อมได้ ซื้อใหม่ก็ได้ แล้วลูกสาวก็มาเล่าว่า มันไม่ใช่นะ

“เราก็ดีใจนะที่เขามาเล่าแบบนั้น เพราะความจริง เรื่องของมันไม่ได้อยู่ที่ราคา แต่เราอยากให้เขาเรียนรู้เรื่องคุณค่าของของ และรู้จักใช้ให้มันเหมาะสม” รวิพรรณ เล่า

เหล่านี้เป็นบทบันทึกของครอบครัวลูก 4 ที่ถูกจับตามองในแวดวงสังคมการเมืองไทย และการมาถึงของ 'พรรคอนาคตใหม่' ในการส่งผู้สมัครเลือกตั้งสมาชิกผู้แทนราษฎรครั้งแรกของไทยในรอบหลายปี ด้วยคะแนนเสียงจากทั่วประเทศ 6,330,617 คะแนน มี ส.ส. ทั้งแบบบัญชีรายชื่อและเขตในสภาฯ 81 คน พรรคอนาคตใหม่ และ 'ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ' จึงอยู่ในสปอตไลต์ เป็นทั้งแสงของความชื่นชม แสงของความหวัง ไปพร้อมๆ กับ แสงส่องจับจ้องตรวจสอบจับผิด แต่ในบ้านเขาก็คือ 'ปาป๊า' ของลูก สามีของภรรยา และการทำทุกหน้าที่ให้ดีที่สุด 


ข่าวที่เกี่ยวข้อง: