ไม่พบผลการค้นหา
ศรราม เทพพิทักษ์ ชี้แจงผ่านการไลฟ์อินสตาแกรม และเฟซบุ๊กแฟนเพจ กรณีมีผู้แจ้งความว่าภรรยาตนฉ้อโกงซื้อขายหน้ากากอนามัย จำนวน 2 แสนชิ้น สูญเงินมูลค่าเกือบล้านบาท ระบุ พยายามติดต่อคืนเงินผู้เสียหายแล้ว และไม่ได้มีเจตนาฉ้อโกง

หลังจากวันนี้ (30 มี.ค.2563) นายอัจฉริยะ เรืองรัตนพงศ์ ประธานชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม ได้นำผู้เสียหายเป็นหญิงรายหนึ่งเข้าแจ้งความกับทางพันตำรวจโท นพพร ศรีสุชาติ รองผู้กำกับการ (สอบสวน) ตำรวจนครบาลหัวหมาก เพื่อให้ดำเนินคดีกับภรรยาอดีตพระเอกชื่อดัง หลังก่อเหตุฉ้อโกงหน้ากากอนามัย สูญเสียเงินเฉียดล้านบาท ในคดีฉ้อโกง 

โดยหญิงผู้เสียหาย เปิดเผยว่า ตนเป็นเจ้าของคลีนิกตรวจสุขภาพย่านมีนบุรี และต้องการหน้ากากอนามัย เพื่อให้ตนเองและแพทย์พยาบาลใช้ในการตรวจผู้ป่วย โดยตนได้รู้จักกับภรรยาพระเอกคนดังกล่าวผ่านทางไลน์ ที่มีเพื่อนแนะนำมาว่า ผู้ต้องหามีหน้ากากอนามัยขาย สามารถสั่งนำเข้าจากต่างประเทศได้ ตนเห็นว่าผู้ต้องหาเป็นบุคคลมีชื่อเสียง และยังบอกว่าหน้ากากที่นำเข้านั้นมาจากเวียดนาม ยี่ห้อ3เอ็ม ตนจึงคิดว่ามีความน่าเชื่อถือ จึงติดต่อขอซื้อไป 2 แสนชิ้น ในราคา 1.8 ล้านบาท หลังจากนัดแนะตกลงกันทางไลน์แล้ว อีกฝ่ายบอกว่า ต้องจ่ายค่ามัดจำครึ่งหนึ่งก่อนคือ 950,000 บาท แล้วถึงจะได้หน้ากากในวันที่ 13 มีนาคม ตนจึงโอนเงินเป็นค่ามัดจำก้อนแรก เป็นจำนวนเงิน 400,000 บาท

จากนั้นได้โอนเงินให้ครบ 950,000บาท ตนโอนเงินไปทั้งหมด 6 ครั้ง จนครบราคาค่ามัดจำ โดยอีกฝ่ายบอกว่า ให้ไปรับของได้ที่บ้านของนักแสดงชื่อดังย่านรัชดาภิเษก แต่เมื่อถึงวันที่ 13 มีนาคม ตามที่นัดหมายไว้ ปรากฏว่า กลับไม่ได้รับของ ตนพยายามติดต่อทางไลน์ แต่อีกฝ่ายก็บ่ายเบี่ยงมาตลอด โดยยกเหตุผลปัญหาต่างๆ ทำให้ไม่สามารถจัดหาหน้ากากอนามัยให้ได้ วันนี้จึงรวบรวมหลักฐานเพื่อเข้าแจ้งความดังกล่าว เพราะตนทำธุรกรรมการโอนเงินในพื้นที่สถานีตำรวจนครบาลหัวหมาก จึงมาแจ้งความเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐาน

ด้าน ศรราม เทพพิทักษ์ ได้ชี้แจงในไลฟ์อินสตาแกรม และเฟซบุ๊กแฟนเพจ แทนภรรยา ติ๊ก กนิษฐรินทร์ ยอมรับว่า ผิดนัดในการส่งสินค้า เนื่องจากภาครัฐได้ออกคำสั่งให้หน้ากากอนามัย เป็นสินค้าควบคุม และพร้อมคืนเงินให้กับผู้เสียหาย แต่ไม่สามารถติดต่อได้

"มีจดหมายมาจากสำนักงานทนายความกล้าหาญ ลงวันที่ 19 มีนาคม เรื่องบอกเลิกสัญญาซื้อขายและขอให้คืนเงินค่าสินค้า ในรายละเอียดระบุว่า เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่มีการตกลงสั่งซื้อสินค้า นั่นคือหน้ากากอนามัยจำนวน 200,000 ชิ้น รวมราคา 1,900,000บาท มีการตกลงที่จะส่งมอบสินค้าได้ผู้ซื้อภายในวันที่ 13 มีนาคม ซึ่งมีการชำระเงินค่าสินค้าไปให้แล้วบางส่วนหลายครั้งหลายคราว รวมเป็นเงิน 900,000 บาท ซึ่งระยะเวลาล่วงเลยมา โดยไม่ได้มีการส่งมอบสินค้าให้ผู้ซื้อได้ตามกำหนด ซึ่งการกระทำดังกล่าวถือเป็นการผิดนัด 

ต้องขอเรียนแบบนี้ว่าไวรัสโคโรน่า หรือว่า โควิด-19 เป็นปรากฎการณ์ที่มันเกิดขึ้นทั้งโลก เพราะผมก็เชื่อว่าตอนต้นเดือนมีนาคม ผมเชื่อว่าน่าจะมีคนที่ซื้อ เพื่อต้องการหน้ากากอนามัย และต้องการแอลกอฮอล์ โดยคิดว่ามันสามารถทำมาหากินได้ ซึ่งผมเรียนตามตรงว่าแน่นอนมันคือสินค้าที่ทำให้เรา ไม่เป็นโรคภัยไข้เจ็บจากโควิด-19 แต่คราวนี้ทางภาครัฐได้มีการแถลงออกมาวันที่ 6 มีนาคม ว่าหน้ากากอนามัย เป็นสินค้าควบคุม และเป็นนโยบายของทางภาครัฐว่า ให้ภาครัฐเป็นส่วนที่ดูแล เพราะงั้นต้องแยกให้ออกมาว่าเรื่องของการฉ้อโกง หรือ ฉ้อฉล นั่นหมายความว่าผมและภรรยา จะต้องมีสินค้าเยอะๆ อยู่ที่บ้าน แล้วก็ขายทางออนไลน์ และมีผู้คนจำนวนมากเลยไปร้องเรียน นั่นคือสิ่งที่ผมทำผิดกฎหมาย แต่สิ่งที่ภรรยาผมได้กระทำก็คือว่า เราไม่ทำผิดกฎหมาย เราถือว่านโยบายของภาครัฐออกมาเมื่อวันที่ 6 มีนาคม ว่าหน้ากากอนามัยเป็นสินค้าที่ถูกควบคุมจากทางภาครัฐ 

ผมสามารถรับแทนภรรยาก็ได้ว่า ตอนแรกกะว่าจะขายหน้ากาก เพราะเราก็ทำมาหากิน ถ้าผิดกฎหมายเราไม่ทำเราก็เลยยอมเสียเงินค่ามัดจำ หรือเงินที่เราสั่งของออเดอร์ไปล่วงหน้า เพื่อเราจะทำตามนโยบายของทางภาครัฐ คราวนี้ภรรยาผมก็พยายามติดต่อไปยังผู้ซื้อ เพื่อจะบอกว่าเงินมัดจำที่คุณส่งมา ไม่ใช่เงินของเรา เงินของเรา เรายอมทิ้ง เพราะไม่อยากทำอะไรผิดกฎหมาย

ยอมรับว่าในเบื้องต้นที่มีโรคแบบนี้ เราก็อยากจะขายของ เราอยากทำมาหากิน แต่เมื่อผิดกฎหมายเราไม่ทำ แต่ทางผู้ซื้อก็แจ้งว่าอยากจะเอาเงินที่ชำระแล้วคืน ก็ไม่เป็นไร เราก็พยายามโทรหาผู้ซื้อ ผู้ซื้อก็ไม่รับโทรศัพท์และบอกให้ติดต่อมาที่ทนายความผู้รับมอบอำนาจ จนวันนี้เราได้รับแจ้งว่ามีการแจ้งความ ซึ่งทางเราได้เตรียมพร้อมอยู่แล้วตั้งแต่ 13 มีนาคม เพราะว่าเราพร้อมที่จะชำระค่าเสียหายอยู่แล้ว 900,000 บาท เพราะว่าในจดหมายเขียนไว้ว่าถ้าภายใน 7 วันเราไม่ติดต่อไป เราก็ต้องถูกแจ้งความดำเนินคดี ซึ่งตรงกับวันนี้ (30 มี.ค.) ที่ทางทนายความได้ไปแจ้งความที่ สน.หัวหมากเรียบร้อยแล้ว 

ภรรยาของผมก็ประสานไปที่สน.หัวหมาก เพื่อให้ประสานกับผู้ซื้อ ว่าให้มารับแคชเชียร์เช็คที เพราะว่าผมพร้อมที่จะเอาเงินคืนคุณแล้ว แล้วผมไม่พร้อมทำธุรกิจที่ผิดกฎหมายกับคุณ ถ้าคุณจะสั่งหน้ากากผมไม่มีวันที่จะเอาหน้ากากเข้ามาจากต่างประเทศ เพื่อมาไว้ที่บ้านแล้วเอาไปขายคนอื่นในราคาสูงๆ ไม่มีทาง เพราะฉะนั้นผมก็ฝากไปถึงคุณผู้ซื้อ ถ้าได้รับข้อความแล้ว หรือได้ดูในไลฟ์ผมแล้ว ช่วยมารับเงินคืน 9 แสนบาท ในเรื่องของการฉ้อโกงหรืออะไรเราไม่มีเจตนาแบบนั้น"