ไม่พบผลการค้นหา
ประธานวิปฝ่ายค้าน ระบุการอภิปรายร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2564 เตรียมชี้ให้เห็นปัญหาเศรษฐกิจ สงสัยกระทรวงมหาดไทย-คมนาคม จัดงบซื้อเครื่องบินทำถนน

นายสุทิน คลังแสง ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมฝ่ายค้าน กล่าวถึงแนวทางในการอภิปรายร่าง พระราชบัญญัติ(พ.ร.บ.)งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2564 ว่า จะสอบถามรัฐบาลเพื่อชี้ให้ประชาชนได้เห็น ในเรื่องสภาวะเศรษฐกิจวันนี้ และปีหน้าจะเกิดอะไรขึ้นให้รัฐบาล วิเคราะห์เพื่อให้ประชาชนได้เห็น และเมื่อเห็นสภาพเศรษฐกิจแล้ว จะแก้ปัญหาและจัดงบประมาณอย่างไร ซึ่งรัฐบาลต้องตอบและประชาชนต้องรู้ในส่วนนี้ โดยเมื่อรัฐบบาลตอบมาแล้วฝ่ายค้านก็จะอภิปรายให้ประชาชนได้เห็นว่าสิ่งที่รัฐบาลอธิบายมาจะตอบโจทย์การแก้ปัญหาให้กับประชาชนได้จริงหรือไม่ 

นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอแนะให้กับรัฐบาลว่าที่ได้ทำงบมาในปีนี้ไม่ถูกต้องอย่างไร การอภิปรายรอบนี้จึงมีความสำคัญต่อประชาชนที่รอคำตอบว่าชีวิตจะตั้งความหวังกับการจัดงบของรัฐบาลได้หรือไม่ เพราะวันนี้โอกาสที่เศรษฐกิจจะฟื้น ความอยู่รอดของประชาชนรอเพียงงบประมาณของรัฐบาลก้อนเดียว เงินต่างประเทศไม่มี เครื่องยนต์เศรษฐกิจไม่มี การลงทุนในประเทศซบเซา ฉะนั้นงบก้อนนี้คือความหวังที่จะต้องอภิปรายให้ประชาชนได้เห็น 

ส่วนจะเน้นไปที่กระทรวงไหนเป็นพิเศษหรือไม่นั้น นายสุทิน กล่าวว่า จะเน้นในทุกกระทรวงโดยเฉพาะกระทรวงมหาดไทย ที่มีการจัดซื้อเครื่องบิน และกระทรวงคมนาคมที่ทั้ง 2 กระทรวงมีงบประมาณเพิ่มขึ้นสูงกว่าทุกกระทรวง โดยในกระทรวงคมนาคมเมื่อดูในรายละเอียด เป็นงบประมาณก่อสร้างถนนทั้งสิ้น ซึ่งรัฐบาลต้องตอบว่า การก่อสร้างถนนตอบโจทย์กับการเป็น New normal อย่างไร ปัญหาในประเทศขณะนี้ต้องสร้างอาชีพในระยะสั้นและระยะกลางอย่างเร่งด่วน แล้วการสร้างถนนใช่หรือไม่ ส่วนที่บอกว่าแก้ปัญหาโควิดนั้น ทำอย่างไรการตัดงบบางส่วนมาใส่ในงบกลางหรือไม่ ที่เรียกว่าแก้ปัญหาโควิด ในส่วนงบของกระทรวงกลาโหมปีนี้ก็ลดลงพอสมควร แต่เมื่อดูรายละเอียดก็ยังพบงบในสิ่งที่ไม่จำเป็น และสามารถลดได้อยู่ ทั้งนี้ยังมีงบอีกหลายๆ ส่วน ที่มีการล็อคสเปคเมื่ออ่านดูแล้วก็ทราบว่าเอกชนรายใดจะได้งาน ซึ่งตรงนี้จะมีการอภิปรายให้เห็นเช่นกัน 

ส่วนจำนวนผู้อภิปรายของพรรคเพื่อไทยจาก 70 คน ลดลงเหลือ 60 คน แบ่งเป็นคนละ 8-10 นาที ขึ้นอยู่กับเนื้อหาการอภิปรายด้วย และคาดว่าในวาระ 2 และ 3 จะแล้วเสร็จภายในสมัยประชุมสภานี้ เพราะมีการเพิ่มจำนวนกรรมาธิการขึ้น แต่ถ้าหากจะเร่งให้เสร็จแล้วไม่ได้คุณภาพก็จำเป็นต้องเปิดสมัยประชุมวิสามัญ ไม่อยากให้เสร็จแบบเอาเวลามาเป็นข้อจำกัด 

ส่วน พ.ร.กฉุกเฉิน ในช่วงแรกก็เห็นด้วยแต่เมื่อมีการต่อครั้งที่ 2 และ 3 นั้นไม่พบเหตุอันควรในการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และมองเห็นเพียงว่าการต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉินทำเพื่อเหตุผลทางการเมือง อย่างที่สำนักข่าวต่างประเทศให้เผยแพร่ว่าไทยต่อ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เพราะไม่อยากให้ประชาชนออกมาชุมนุมเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจ