ไม่พบผลการค้นหา
ยอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่ม 136 คน รวมสะสม 1,524 คน เสียชีวิตเพิ่ม 2 ราย รวมเสียชีวิตสะสม 9 ราย ด้านศบค.ห่วงต่างจังหวัด พบผู้ติดเชื้อใหม่สูงกว่ากรุงเทพฯ ขณะตัวเลขการสัญจร กทม.ตลอดสัปดาห์ ลดลง 40% ยังไม่ถึงเป้าที่ 90% ของประชาชนร่วมมืออยู่บ้าน หยุดเชื้อ

ที่กระทรวงสาธารณสุข นายแพทย์ธงชัย เลิศวิไลรัตนพงศ์ ผู้ตรวจการกระทรวงสาธารณสุข เขตสุขภาพที่ 1 หรือภาคเหนือตอนบน พร้อมด้วย นายแพทย์อนุพงศ์ สุจริยากุล ผู้ทรงคุณวุฒิกรมควบคุมโรค และนายแพทย์ วรตม์ โชติพิทยสุนนท์ โฆษกกรมสุขภาพจิต แถลงข่าวสถานการณ์โควิด -​19 ว่า วันนี้ที่ 30 มีนาคม 2563 ว่า

มีผู้ป่วยสะสม 1,524 รายเป็นคนไทย 1,297 ราย ต่างชาติ 227 ราย, มีรายใหม่ 136 คน, กลับบ้านได้ 127 ราย รักษาตัวที่โรงพยาบาล 1,388 ราย เสียชีวิตเพิ่ม 2 รายเมื่อวานนี้ รวมเสียชีวิตทั้งหมด 9 ราย

สถานการณ์ทั่วโลก ตั้งแต่ 5 มกราคม – 30 มีนาคม 2563 เวลา 7 นาฬิกา พบผู้ป่วยยืนยันติดเชื้อ 721,277 ราย เสียชีวิต 33,942 ราย เฉพาะในประเทศจีนพบผู้ป่วย 81,439 ราย เสียชีวิต 3,300 ราย, สหรัฐอเมริกา 141,781 ราย เสียชีวิต 2,471 ราย, อิตาลี 97,689 ราย เสียชีวิต 10,779 ราย

นายแพทย์อนุพงศ์ ระบุว่า ในไทยผู้ป่วยสูงสุดยังเป็น กทม. 721 ราย อายุเฉลี่ยของผู้ป่วยคือ 40 ปี ในผู้ป่วย 1,388 ราย มีอาการหนัก 23 ราย ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มสัมผัสผู้ป่วยก่อนหน้า ส่วนจากสนามมวยลดน้อยลงแต่พบผู้ป่วยจากต้นทางสถานบันเทิงเพิ่มขึ้นอีก โดยผู้ป่วย 80% อาการไม่รุนแรง ที่รุนแรงและต้องใช้เครื่องช่วยหายใจมีเพียง 5-6% เท่านั้น

สำหรับผู้เสียชีวิต 2 รายนั้น รายแรก เป็นชายชาวจังหวัดยะลา อายุ 54 ปี ซึ่งกลับจากประเทศมาเลเซียวันที่ 12 มีนาคม มีอาการป่วยวันที่ 15 มีนาคม เข้ารักษาตัวที่โรงพยายาลวันที่ 16 มีนาคม รู้ผลตรวจวันที่ 19 มีนาคม และเสียชีวิตวันที่ 29 มีนาคม ด้วยอาการปวดอักเสบ มีภาวะหายใจล้มแล้วและเสียชีวิตในที่สุด

รายที่ 2 เป็นหญิงชาว กทม.อายุ 56 ปี เริ่มป่วยวันที่ 18 มีนาคม เข้ารับการรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนวันที่ 20 มีนาคม และเสียชีวิตด้วยอาการปอดอักเสบรุนแรง วันที่ 29 มีนาคม โดยไม่มีประวัติโรคประจำตัวหรือโรคร่วม

นายแพทย์อนุพงศ์ ให้ความเห็นกรณีผู้ป่วยเสียชีวิตทั้งที่มาโรงพยาบาลโดยเร็ว และกรณีที่ไม่มีโรคร่วมว่า น่าจะเกิด จากปริมาณเชื้อไวรัสที่รับเข้าไปเป็นจำนวนมาก และภูมิต้านทานหรือการกำจัดเชื้อภายในร่างกายของแต่ละคนที่มีไม่เท่ากัน 

นายแพทย์อนุพงศ์ ยังย้ำถึงการพบผู้ป่วยรายใหม่ว่าเกี่ยวข้องกับการขนส่งสาธารณะและสถานที่เสี่ยง โดยขอให้ประชาชนที่จำเป็นต้องเดินทางไปในพื้นที่ปิดและอัดให้สวมหน้ากากอนามัย หากไม่มีธุระควรอยู่บ้านและใช้มาตรการเว้นระยะห่างทางสังคม ขณะเดียวกัน ทางกระทรวงสาธารณสุขได้ขอความร่วมมือผู้ประกอบการขนส่งสาธารณะทำความสะอาดยานพาหนะเป็นประจำ     

นายแพทย์วรตม์ กล่าวขอบคุณทุกคนที่ให้กำลังใจบุคลากรทางการเเพทย์ในการทำงานผ่านการปราบมือทางโซเชียลมิเดีย ขณะที่กระทรวงสาธารณสุขได้เริ่มกระจายหน้ากากอนามัยและชุดปกป้องร่างกายแก่ทีมแพทย์ไปต่างจังหวัดทั่วประเทศแล้ว รวมถึงอุปกรณ์จากประเทศจีนให้โรงพยาบาลใน กทม.แล้วหลายแห่ง

พร้อมกันนี้ยืนยันว่า ทางกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้ปิดกั้นหรือสั่งห้ามการรับบริจาคของโรงพยาบาล แต่เห็นว่าเป็นเรื่องดี ที่แสดงถึงความมีน้ำใจต่อกันของคนไทย

นายแพทย์ วรตม์ ยังเปิดเผยผลสำรวจ "อุณหภูมิใจ" ทางออนไลน์ของกรมสุขภาพจิต จากประชาชน784 รายที่ทำงานที่บ้านพบว่า สวมหน้ากากอนามัย 70-80%,ล้างมือ 70%, เลี่ยงเอามือจับใบหน้า มีไม่ถึง 50%, ทานอาหารปรุงสุกใหม่ๆ 67%, ใช้ช้อนกลางส่วนตัว 68.9 %, แยกใช้ของใช้ส่วนตัว 80% 

ส่วนการเว้นระยะห่าง สำรวจ 700 กว่าคน พบว่า การเลี่ยงสถานที่แออัด 70.1 %, เลี่ยงอยู่ใกล้ชิด อยู่ห่าง 2 เมตร 67.9%


ศบค.ห่วงต่างจังหวัด พบผู้ติดเชื้อใหม่สูงกว่ากรุงเทพฯ

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 (ศบค.) แถลงสรุปสถานการณ์ประจำวันจันทร์ ที่ 30 มีนาคม 2563 ว่า วันนี้ มีผู้ติดเชื้อรายใหม่ 136 คน รวมสะสม 1,524 คน ทั้งนี้ตัวเลขที่ต้องเฝ้าระวัง ขณะนี้ คือ ผู้ป่วยรายใหม่ ในต่างจังหวัด ที่มากกว่า กทม.  

โดยปลัดกระทรวงมหาดไทย ได้รายงานต่อที่ประชุม ถึง มาตรการแบริเออร์ หรือ จำกัดพื้นที่เพื่อเป็นแนวทางป้องกัน ใน 4 จังหวัดเสี่ยง คือ ภูเก็ต ยะลา ปัตตานี และนราธิวาส โดยเฉพาะภูเก็ต ซึ่งพบ 41 ราย อยู่ระหว่างการกักตัวที่บ้าน 298 คน เป็นคนไทย 252 คน ต่างชาติ 37 คน ทั้งนี้ ได้เพิ่มมาตรการเข้มงวด ทั้งการปิดสถานที่เสี่ยงทั้ง 2,532 แห่ง ปิดชายหาดทุกแห่ง สวนสัตว์ และถนนสายบางลา วอล์คกิ้ง สตรีท 

นอกจากนี้ ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ได้รายงานสถานการณ์ต่อที่ประชุม พบว่า ตัวเลขของการสัญจรของประชาชน ในกทม. ระหว่างสัปดาห์ก่อนการประกาศพ.ร.ก.ฉุกเฉิน จนถึงขณะนี้ ตัวเลขลดลงเพียงกว่า 40 % เช่น ในรถประจำทาง ลดลง 45% รถส่วนบุคคลลดลง 41% ซึ่งโฆษก ศบค. ย้ำว่า ยังไม่เพียงพอ ต้องลดให้ได้ถึง 90% ถึงจะได้ผล ทั้งนี้จึงต้องอาศัยความร่วมมือของประชาชน



ข่าวที่เกี่ยวข้อง :