ไม่พบผลการค้นหา
นายกรัฐมนตรีป้ายแดง บริหารประเทศโดยเผชิญทั้งศึกในและศึกนอก หนึ่งคือการต่อรองตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีใหม่ เห็นได้จากการที่กลุ่มสามมิตรออกมาตีรวน-ต่อรองในโค้งสุดท้าย หนึ่งคือการโหมโจมตีไปยังรัฐบาล โดย 7พรรคฝ่ายประชาธิปไตยในสภา และโดยมวลชนผู้รักประชาธิปไตยนอกสภา

การแสดงความเห็นของ “อนุชา นาคาศัย” แกนนำกลุ่มสามมิตร ถือว่าน่าจับตาเป็นอย่างยิ่ง ปรากฏทั้งข้อเท็จจริง ถึงการต่อรองเก้าอี้การเมืองหลังไมค์ ปรากฏทั้งความไม่พอใจถึงการถูกปรับออกจากตำแหน่ง ปรากฏทั้งรอยร้าวในพรรคพลังประชารัฐให้เห็นเด่นชัด และปรากฏภาพยาวๆ ของทิศทางการเมือง หากแกนนำกลุ่มสามมิตรไม่ได้รับบำเหน็จศึกที่คุ้มค่ามากเพียงพอ

หลังคว้าศึกเลือกตั้ง กลุ่มสามมิตรได้รับการยืนยันถึงตำแหน่งในคณะรัฐมนตรีใหม่ โดย “อนุชา” นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง และ “สุริยะ” นั่งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน

ทว่า ณ วันนี้ โผคณะรัฐมนตรีไม่เหมือนที่ได้สัญญากันไว้ก่อนหน้านี้ ท่ามกลางกระแสข่าว ปรับ “อนุชา” ออก แล้วแทนที่ด้วย “เทวัญ ลิปตพัลลภ” จากพรรคชาติพัฒนา รวมถึงขยับ “สุริยะ” นั่งกระทรวงอุตสาหกรรม ไม่ใช่กระทรวงพลังงาน อันเป็นขุมทรัพย์สำคัญอย่างที่ได้สัญญากันไว้ก่อนหน้านี้

อนุชา ย้ำในการแถลงข่าวว่า "หากเป็นไปตามกระแสข่าวจริง ผมคงเสียใจอย่างยิ่งแทนพี่ๆ น้องๆ ของผมที่ต้องหลุดโผ หรือถูกเปลี่ยนตำแหน่ง ส่วนตัวผมนั้นถ้าจะถูกปรับออกก็ยินดี แต่ขอท่านนายกฯได้โปรดอย่าเปลี่ยนแปลงตำแหน่งอื่นๆ โดยเฉพาะ นายสุริยะ ท่านเป็นบุคคลที่มีคุณค่า อยากฝากไปถึงนายกฯ หากจำเป็น ผมขอออกคนเดียวก็เพียงพอ"

"การนำพรรคชาติพัฒนาที่มี ส.ส เพียง 3 คนมาเป็นรัฐมนตรี เป็นเรื่องไม่ถูกต้องอย่างยิ่งเพราะเป็นคู่แข่งกันทางการเมือง ซึ่งเสมือนหนึ่งว่าพวกตนเองไปรบจนได้รับชัยชนะ พอกลับบ้านถูกแม่ทัพนำศัตรู ซึ่งตนเองไปต่อสู้ชนะมาเอามาตัดหัวตนทิ้ง แต่ก็ไม่เป็นไร ถ้าเป็นเช่นนั้นอาจจะด้วยความจำเป็นของท่านนายกฯ”

ไม่เพียงเป็นการแถลงข่าวเพื่อส่งสัญญาณให้นายกรัฐมนตรีรักษาสัจจะทางการเมือง ไม่ปรับและไม่ขยับอย่างที่เป็นกระแสข่าว แต่ “อนุชา” ยังถือโอกาสปรับทุกข์ เปรยผ่านสายลม ถึง นายกรัฐมนตรี และแกนนำพรรคพลังประชารัฐอีกด้วย

"ผมก็ยังคอยรับใช้พวกคุณ ทำงานให้พวกคุณในทุกเรื่องที่พวกคุณต้องการจนประสบความสำเร็จ ให้พวกคุณเสวยสุข แต่พวกคุณก็ยังรังแก ไปให้ร้าย ใช้สื่อโจมตี เสนอแต่เรื่องไม่ดีและเรื่องไม่จริงให้ท่านนายกฯและผู้ใหญ่ที่น่านับถือฟัง จนพวกเราเป็นบุคคลที่น่ารังเกียจของทั้งสองท่าน และหากพวกท่านรักท่านนายกฯ หรือผู้ใหญ่ ที่น่านับถือจริง และรักพรรคจริง ขอได้โปรดหยุดการกระทำเหล่านี้ นับแต่บัดนี้ ท่านอาจจะลืมไปว่าท่านใช้อะไรผมบ้าง ท่านทิ้งอะไรไว้บ้าง หากโดนรังแกจนทนไม่ได้ พวกท่านจะต้องมีข่าวระดับชาติเป็นแน่ๆ”

"กลุ่มบุคคลกลุ่มนี้ที่เป็นกลุ่มผู้บริหารพรรค ยังมีโอกาสกลับตัว ถ้ายังไม่กลับผมจะทำให้ดู ทำกันเกินไปแล้ว ผมเป็นลูกผู้ชายไม่ทำร้ายใครข้างหลัง ไม่ใส่กระโปรงไปแอบให้ร้ายใครแน่นอน ซึ่งผู้ใหญ่ในพรรคอาจจะทราบแต่ไม่กล้าพูด แต่ครั้งนี้ทนไม่ไหวแล้ว และหากนายกฯให้โอกาสเข้าไปชี้แจง พวกเราก็จะชี้แจงให้ทราบถึงความเป็นมาเป็นไปในพรรค"

"กลุ่มตรงข้ามเขาไม่ให้เกียรติเพื่อนร่วมงาน เขาคิดว่าเขาเป็นคนของเจ้านายคนเดียว เป็นลูกน้องที่มีความสำคัญแต่ผู้เดียว กดหัวเพื่อนร่วมงาน จนพวกเราไม่มีโอกาสได้แสดงความคิดว่าการทำงานในพรรคหรือเดินต่อไปจะเป็นอย่างไร ถ้าให้เกียรติกันคงจบไปแล้ว พรรคจะเดินหน้าไปได้มากกว่านี้ เสียงปริ่มน้ำไม่ใช่เป็นปัญหาเลย ผมมั่นใจว่าจะสามารถบริหารเสียงปริ่มน้ำได้ การบริหารงานในพรรคอาจจะหนักว่าเสียงปริ่มน้ำเยอะ และคิดว่าคนเหล่านี้มีจิตใจไม่ปกติ ครั้งนี้มันสุดกระดานแล้ว ผมถอยจนไม่มีที่ให้ถอยแล้ว"

การแถลงข่าวของ “อนุชา” ไม่เพียงชี้ให้เห็นถึงการต่อรองเก้าอี้การเมืองที่ดำเนินไปอย่างเข้มข้น แต่ยังย้ำถึงรอยร้าวในพรรคพลังประชารัฐได้ดี ว่าถึงที่สุดแล้วกลุ่มเทคโนแครตแปลงกายเป็นนักการเมือง ที่นำทีมโดยกลุ่มลูกศิษย์สมคิด ย่อมไม่อาจประสานเป็นเนื้อเดียวกันกับกลุ่มสามมิตร อันประกอบด้วยนักการเมืองที่ผ่านสนามมาอย่างโชกโชน เหมือนที่ “อนุชา” ประกาศว่า “ผมถอยจนไม่มีที่ให้ถอยแล้ว” ประโยคนี้ย่อมย้ำถึงทิศทางการเมืองที่กำลังจะดำเนินไปข้างหน้าด้วย หากไม่มีเก้าอี้การเมืองให้ “อนุชา-สุริยะ” นั่ง

นั่นคือศึกในพรรคพลังประชารัฐ ทว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ยังต้องเผชิญศึกอีก ทั้งในสภา และ นอกสภา เฉพาะที่ปรากฏให้เห็นแล้วในสภา คือการที่ ส.ส. 7 พรรคฝ่ายประชาธิปไตย ลุกขึ้นฉะแหลกถึงปัญหาของ การดำเนินการตามแผนการปฏิรูปประเทศ ตามมาตรา 270 ของรัฐธรรมนูญ นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรียังเผชิญกับญัตติด่วน ข้อวิพากษ์วิจารณ์ และกระทู้ถามสดอีกเป็นจำนวนมากในสภา  เช่น

-ปัญหาราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ

-การต่อสัญญาสัมปทานให้กับบริษัททางด่วนและรถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน)

-การตรวจสอบกระบวนการสรรหา ส.ว. ซึ่งแม้จะถูกตีตก แต่ยังเป็นปัญหาคาใจคนจำนวนมากในสังคม

-กระทู้ถามสดจากพรรคประชาชาติ เรื่องการแก้ปัญหาประชาชนในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประเด็นการแก้ปัญหาโรคชิคุนกุนย่า และการลงทะเบียนซิมการ์ดโทรศัพท์มือถือแสดงอัตลักษณ์ที่อาจละเมิดสิทธิส่วนบุคคล

-กระทู้ถามสดจากพรรคอนาคตใหม่ เรื่องโครงสร้างอำนาจหน้าที่ กอ.รมน. ที่ส่อซ้ำซ้อนกับพลเรือน

-ส.ส.พรรคร่วมฝ่ายค้าน ยังเตรียมยื่นคำร้องต่อประธานรัฐสภา ส่งศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยความเป็นนายกรัฐมนตรีของ พลเอกประยุทธ์ ขาดคุณสมบัติหรือไม่ เพราะเข้าข่ายเป็นเจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ

นี่คือเฉพาะสัปดาห์แรกของการทำงานในสภาฯ อย่างเต็มรูปแบบ หากคณะรัฐมนตรีคลอดอย่างเป็นทางการเมื่อใด จะมีเรื่องน่าจับตาและประเด็นคำถามจาก 7 พรรคฝ่ายประชาธิปไตยคลอดออกมาอีกเป็นจำนวนมาก

ทว่านอกสภาฯ ก็น่าจับตาไม่แพ้กัน เห็นได้จากการเดินสายของ “ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ” ในต่างจังหวัด โดยเฉพาะที่ขอนแก่น ซึ่งมีมวลชนหลักพันคนรอต้อนรับแน่นขนัด ทั้งในงานเสวนาภาคกลางวัน ที่ ม.ขอนแก่น และงานระดมทุนภาคกลางคืน บรรยากาศเช่นนี้เกิดขึ้นในหลายจังหวัดที่ธนาธรออกเดินสายพบปะกับประชาชน สอดประสานไปกับจังหวะหลังจากเหตุการณ์ที่ “จ่านิว” โดนทำร้าย ซึ่งทำให้อนุสรณ์สถาน 14 ตุลาคม 2516 กลับมาทรงพลังอีกครั้งหนึ่ง

เป็นอันว่า นายกรัฐมนตรีคนใหม่ จะต้องเผชิญกับทั้งศึกในพรรค-ในสภาฯ และนอกสภาฯ ขนานกันไปเช่นนี้ตราบเท่าที่อยู่ในอำนาจ ...อำนาจอันสืบทอดต่อเนื่องนับตั้งแต่ 22 พฤษภา 2557!!

วยาส
24Article
0Video
63Blog