'สี จิ้นผิง' ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน กล่าวสุนทรพจน์ในการประชุมฟอรั่มเอเชียโป๋อ๋าว ประจำปี 2564 ย้ำ "ไม่ว่าประเทศจะเติบโตขึ้นมากแค่ไหน จีนไม่มีความคิดจะเป็นเจ้าโลก ขยายอำนาจหรือเผยแพร่อิทธิพล และจะไม่เข้าร่วมในสงครามใดๆ อย่างแน่นอน"
บรรทัดฐานที่จีนยึดถือคือการปกครองระดับโลกที่ "ยุติธรรมและเที่ยงตรงมากกว่านี้"
อย่างไรก็ดี สี จิ้นผิง ไม่ลืมที่จะตอกย้ำความสำเร็จในการบริหารประเทศของตนเองในเชิงระบบการค้าแบบโลกาภิวัฒน์และพหุภาคี สอดรับกับตัวเลขอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ (จีดีพี) ประจำไตรมาสแรกของปี 2564 ที่เพิ่งออกมา
แม้การเติบโต 3 เดือนแรกของปีจะต่ำกว่าตัวเลขคาดการณ์ของรอยเตอร์สที่ระดับ 19% แต่จีดีพีที่โตถึง 18.3% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า นับเป็นตัวเลขที่ไม่เลวร้ายแต่อย่างใด และตัวเลขการเติบโตในปีนี้ยังมากกว่าช่วง ไตรมาส 1/2562 ถึง 10.3%
นอกจากมิติด้านเศรษฐกิจ ผู้นำจีนยังออกมาเรียกร้องให้ 'ประเทศมหาอำนาจ' (ไม่ระบุชื่อว่าคือประเทศใด) ประพฤติตน "ให้เหมาะสมกับสถานะและความรับผิดชอบของตนเอง" ก่อนเชื่อมไปยังประเด็นความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และแนวคิด 'สงครามตัวแทน/สงครามเย็น' ที่ปะทุขึ้นอีกครั้ง
สี จิ้นผิง ชี้ว่า ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศเป็นเรื่องที่ต้องเกิดจากการเจรจาและปรึกษาร่วมกัน อนาคตของโลกต้องเกิดจากการตัดสินใจของทุกประเทศ
"ประเทศเพียงหนึ่งหรือสองประเทศไม่ควรนำหลักการของพวกเขามายัดเยียดให้ผู้อื่น และโลกก็ไม่ควรถูกนำด้วยฝ่ายเดียวหรือไม่กี่ประเทศ"
"สิ่งที่โลกทุกวันนี้ต้องการคือความยุติธรรม ไม่ใช่เจ้าโลก" สี จิ้นผิง
"ไม่ตั้งตนเป็นเจ้าโลก" ไม่ใช่วาทกรรมใหม่ของ สี จิ้นผิง ย้อนกลับไปในปี 2561 ผู้นำจีนร่ายสุนทรพจน์ที่มีเนื้อหาไม่แตกต่างกันในงาน ครบรอบ 40 ปี การปฏิรูปเศรษฐกิจจีน ของ เติ้ง เสี่ยวผิง อดีตผู้นำคนสำคัญที่ล่วงลับ
ในครั้งนั้น จีนย้ำว่าจะไม่พัฒนาประเทศด้วยวิธีที่ต้องแลกมากับผลประโยชน์ของชาติอื่นๆ พร้อมย้ำ "ไม่ว่าจีนจะพัฒนาไปไหลมากแค่ไหน ประเทศจะไม่ต้นตนเป็นเจ้าโลก"
ขณะที่ 'คำพูด' ของผู้นำจีนที่ตอกย้ำอยู่บนความยุติธรรมและไม่หวังจะเป็นเจ้าโลกถูกประกาศซ้ำหลายครั้ง ตัวเลข/ข้อมูล/ข่าวสาร กลับเสนอข้อเท็จจริงอีกมุมที่รัฐบาลจีนทำเพียงปฏิเสธตลอดมา
หากนับแค่เพียงโคงการเส้นทางสายไหมแห่งศตวรรษที่ 21 หรือ Belt and Road Initiative (BRI) ข้อมูลจากสถาบันแม็คเคน (McCain Institute) มหาวิทยาลัยแอริโซนาสเตต สหรัฐอเมริกา พบผลกระทบเชิงลบทั้งในฝั่งเศรษฐกิจ ข้อมูล และสถาบัน
'ศรีลังกา' หนึ่งในประเทศที่เข้าร่วมโครงการเส้นทางสายไหมของจีนและติดหนี้ชาติมหาอำนาจในมิติที่แทบไม่มีทางใช้คืนได้ จนต้องปล่อยเช่าท่าเรือฮัมบันโตตาและพื้นที่โดยรอบเป็นเวลากว่า 99 ปีเพื่อใช้หนี้แทน
เหตุการณ์ข้างต้นไม่ได้เกิดขึ้นกับศรีลังกาเท่านั้น แต่ยังมีอีกหลายชาติที่กลายเป็นหนี้มหาศาลจากการเข้าร่วมเป็นหุ้นส่วนโครงการ BRI กับชาติมหาอำนาจ จนหลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตถึงความไม่โปร่งใสและ 'การทูตกับดักหนี้' (debt-trap diplomacy)
เมื่อมองกลับเข้าไปในประเทศจีน ยังมีประเด็นสิทธิมนุษยชนของชนกลุ่มน้อยในประเทศ อย่างกรณีของชาวอุยกูร์ ที่ถูกรัฐบาลจีนกล่าวอ้างว่าเป็นพื้นที่ 'ศูนย์ฝึกอาชีพ' ขณะที่รายงานจากสื่อมวลชนนานาชาติและสถาบันวิจัยชี้ว่าพื้นที่ดังกล่าวเป็น "สถานที่ต้องสงสัยว่าเป็นศูนย์กักกัน"
อ้างอิง; CNBC(1), CNBC(2), Bloomberg, BBC, AP
ข่าวที่เกี่ยวข้อง;