ไม่พบผลการค้นหา
ส.ส.พรรคก้าวไกล อธิบายการร่วมลงชื่อถอดถอน 'สิระ' ยันเป็นเอกสิทธิ์ ดัก ตร. ต้องศึกษารัฐธรรมนูญให้รอบคอบ หลัง 'สิระ' แจ้งเอาผิด 55 ส.ส. ด้าน ส.ส.ฝีปากกล้า ประกาศยื่นยุบ 'เพื่อไทย'

กรณี สิระ เจนจาคะ ส.ส.กรุงเทพมหานคร พรรคพลังประชารัฐ แจ้งความดำเนินคดีต่อ 55 ส.ส. ข้อหาแจ้งเท็จต่อประธานรัฐสภาและปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ กรณีร่วมกันเข้าชื่อยื่นขอ ชวน หลีกภัย ส่งเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสถานะความเป็น ส.ส.ของสิระ สิ้นสุดลงตามมาตรา 101 (7) รัฐธรรมนูญ หรือไม่ จากกรณีลงพื้นที่ตรวจสอบการก่อสร้างคอนโดมิเนียม ขัดขวางเจ้าหน้าที่รัฐ สภ.กะรน จ.ภูเก็ต

สุพิศาล ภักดีนฤนาถ ส.ส.พรรคก้าวไกล และอดีตผู้บังคับการกองปราบปราม (ผบก.ป.) หนึ่งใน 55 ส.ส. โพสต์เฟซบุ๊กระบุ 3 เหตุผลถึง สิระ ใจความว่า

  • 1.การร่วมกันลงชื่อของ ส.ส. เป็นเอกสิทธิ์ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 82 รัฐธรรมนูญกำหนดให้ไว้ ในกรณีการกระทำหน้าที่ของผู้ที่เป็น ส.ส. ในเรื่องคุณสมบัติหรือเรื่องการกระทำนั้น ส.ส.หรือ สว.สามารถร่วมกันวินิจฉัย และยื่นคำร้องผ่านประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นทั้งหน้าที่และอำนาจในการตรวจสอบได้ ไม่ใช่กลั่นแกล้ง และประธานสภาผู้แทนราษฎรก็มีหน้าที่ตรวจสอบ ว่าประเด็นดังกล่าวครบถ้วนหรือไม่ เป็นไปตามที่รัฐธรรมนูญระบุไว้หรือไม่ 

เมื่อครบถ้วนก็ส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ซึ่งผลของการวินิจฉัยก็เป็นที่ยอมรับโดยทั่วไป ไม่ใช่การกล่าวโทษร้องทุกข์ นี่เป็นกระบวนการที่กฎหมายสูงสุดของประเทศให้อำนาจไว้เป็นเอกสิทธิ์ ของ ส.ส.และส.ว.ในหมวด 7 ส่วนที่1 บททั่วไป เหมือนการอภิปรายในสภา

  • 2.กรณีศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยออกมา บอกว่าการกระทำนั้นยังไม่เข้าข่ายความผิด ยกประโยชน์ให้ผู้ถูกร้อง ก็ถือว่าถึงที่สุด เป็นเสมือนว่าการกระทำในลักษณะแบบนี้เป็นมาตรฐาน มิได้แทรกแซง ก้าวก่าย เจ้าหน้าที่รัฐ ไม่ใช่ว่าจะนำคำวินิจฉัยนั้นไปฟ้องร้องกับบุคคลอื่นซึ่งทำหน้าที่ตรวจสอบ ซึ่งการวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญมิได้มุ่งเน้นอย่างนั้น แต่มุ่งเน้นให้กรณีนี้เป็นบรรทัดฐาน
  • 3. อย่างไรก็ตาม เมื่อมีการแจ้งความดำเนินคดี ก็ต้องมีกระบวนการสอบสวน ต้องวินิจฉัย ซึ่งกรณีจะแจ้งความจับ ส.ส. จำนวนมากในลักษณะนี้ ไม่ใช่แค่เรื่องของสถานีตำรวจ แต่สำนักงานตำรวจแห่งชาติอาจต้องลงมาตั้งกรรมการสอบสวน ให้ได้ความจริง การรวบรวมพยานหลักฐานก็ต้องใช้เวลา หากพนักงานสอบสวนจะดำเนินคดี ต้องไปศึกษารัฐธรรมนูญ และมีความรอบคอบพอสมควร ที่จะสามารถดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหา

อย่างไรก็ตามกรณีนี้ก็เป็นไปได้ยาก เพราะกฎหมายให้ความคุ้มครอง เอกสิทธิ์สูงพอสมควรแล้ว อย่างไรก็ตามพนักงานสอบสวนคงต้องพิจารณากัน เพราะกรณีการไม่รับร้องทุกข์นั้น โดยหลักแล้วประกอบด้วย

1) ไม่มีการกระทำผิด 2) ปัจจัยองค์ประกอบความผิดไม่ครบถ้วน 3) พิสูจน์ทราบได้ว่ามิได้มีเจตนากระทำผิดตามที่บัญญัติไว้ในประมวลกฎหมายอาญา และ 4) พยานหลักฐานไม่ครบถ้วน

ทั้งนี้ ต้องระมัดระวังในเรื่องกระบวนการสอบสวน ให้รัดกุม ครอบคลุม เพราะถ้าไม่มีคดีอาญาเกิดขึ้น พนักงานสอบสวนควรจะรู้ว่าควรจะทำอะไร


สิระยันปกป้องสิทธิ-ศักดิ์ศรี

ทั้งนี้ เมื่อเวลา 10.30 น. ที่ สน.บางโพ 'สิระ เจนจาคะ' ได้เดินทางแจ้งความกับ พ.ต.อ.พงศ์พัชร์ แจ้งหมื่นไวย์ ผกก.สน.บางโพ ให้ดำเนินคดีกับ ส.ส.รวม 55 คน ในข้อหาแจ้งเท็จต่อประธานรัฐสภา และปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบ โดย พ.ต.อ.พงศ์พัชร์ ได้สอบปากคำสิระ ก่อนพิจารณาดำเนินการตามขั้นตอนกฎหมายต่อไป

สิระ กล่าวว่า ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยไปแล้วว่าการกระทำของตนนั้น ถือเป็นการทำหน้าที่ของ ส.ส.ตามสิทธิ แต่ 'การุณ โหสกุล' ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย ได้ล่ารายชื่อเพื่อถอดถอน โดยเรื่องที่ยื่นเป็นเรื่องเท็จและบิดเบือน จึงออกมาปกป้องสิทธิและศักดิ์ศรี เชื่อว่า ส.ส.เหล่านั้นไม่ได้อ่านคำร้องของการุณ ขอให้เข้าใจว่า หากลงชื่อก็ต้องรับผิดชอบ จะอ้างว่าไม่รู้เห็นไม่ได้ เพราะมีคนประสานมาหาตนว่าอย่าฟ้อง ส่วนตัวมองว่าการทำหน้าที่ของ ส.ส.ควรให้สมศักดิ์ศรีที่ประชาชนเลือกมา ไม่ใช่ล่าชื่อแล้งกลั่นแกล้งใครก็ได้

สิระ กล่าวว่า การใช้เอกสิทธิ์ ส.ส.ต้องไม่บิดเบือน หรืออยู่เหนือกฎหมาย ทั้งนี้สัปดาห์หน้าจะไปยื่นยุบพรรคเพื่อไทยต่อ กกต.กรณีมี ส.ส.พรรค ยื่นเรื่องถอดถอนตน จะปฏิเสธไม่ได้ว่าการกระทำนี้ไม่ใช่มติพรรค เพราะไม่เห็นมีการประชุม หากไม่มีมติพรรค คนที่นำเรื่องมาออกสื่อต้องรับผิดชอบ