ธันวา บุญสูงเนิน ชื่อนี้อาจจะไม่คุ้นหู แต่ถ้าบอกว่า The Toys จากบทเพลง หน้าหนาวที่แล้ว หลายคนต้องรู้จักในฐานะนักดนตรี และโปรดิวเซอร์มากความสามารถ
เขาคือลูกชายของนิตยา บุญสูงเนิน และหลานชายของเจินเจิน บุญสูงเนิน ด้วยฝีมือด้านดนตรี ที่สามารถคว้าแชมป์ Overdrive Guitar Contest มาครอบครองด้วยวัยไม่ถึง 20 ปี จนมีโอกาสเข้ามาเป็นศิลปินในค่าย What the duck และขณะนี้เขาก็มีอีกหนึ่งเพลงดังที่ติดชาร์จ อย่างเพลง ก่อนฤดูฝน
เพลงก่อนฤดูฝน
“ไอเดียเพลงนี้ มันเริ่มมาจากการนั่งคุยกับเพื่อน แล้วตอนนั้นฝนมันตกอยู่ นั่งคุยกันไปกันมาอยู่ดีๆ เพื่อนก็พูดออกมาว่า ถ้าเป็นปีที่แล้วตอนฝนตก อยู่กับแฟนมันมีความสุขดีนะ แต่ว่าปีนี้ฝนก็ยังตกอยู่ ทำให้หวนคิดถึงโมเม้นดีๆ เมื่อปีที่แล้ว ผมมองว��ามันเซนซิทีฟ ในเรื่องของความคิดถึงใครสักคน ผมเลยหยิบเรื่องราวจากการพูดคุยตรงนี้ มาเขียนเป็นเนื้อเพลง”
เพลง ก่อนฤดูฝน เป็นการทำเองด้วยตัวเองทั้งหมด ของทอย ธันวา ตั้งแต่เขียนเนื้อ ใส่เมโลดี้ และภาคดนตรีนี้เป็นอีกหนึ่งความตั้งใจ ที่เขาทดลองที่เรียกว่าแนว Vapor wave(เวเพอร์เวฟ)ซึ่งเป็นเสียงดนตรีที่เกิดจากการเสียงธรรมชาติ หรือเสียงรอบๆ ตัวมาสังเคราะห์ให้กลายเป็นเสียงดนตรี
นอกจากเนื้อเพลงที่ไพเราะและภาคดนตรีที่มีเอกลักษณ์แล้ว อีกหนึ่งสิ่งที่ทำให้เพลงนี้เป็นที่จดจำของใครหลายๆ คน คงเป็นท่อน Rap ที่ต้องย้อนฟังกันหลายรอบไอเดียท่อน Rap เกิดจากการพี่บอล วงสครับบ์เจ้าของค่ายบอกกับทอยว่า เพลงนี้ควรใส่ความเป็นตัวเองลงไปด้วย เหมือนกับเพลงหน้าหนาวที่แล้ว
ท่อน Rap
“ตอนนั้นผมแค่รู้สึกว่าท่อน Rap ในเพลง มันเหมือนจะเป็นท่อนโซโล่เลย คือถ้าเป็นการทำเพลงโดยทั่วไป ส่วนใหญ่จะเอาไปไว้ท่อนกลางเพลงหรือไม่ก็ท้ายเพลง ผมเลยคิดว่าพอร้องถึงท่อนฮุกปุบ แล้วร้องเป็นแรปเลยละกัน มันเลยเป็นเพลงที่ฟังแล้วปุบปับออกมาเป็นท่อนแรปเลย คือพยายามทำให้คนฟังเดาไม่ได้ครับ”
และอีกหนึ่งบทบาทนอกจากการเป็นนักดนตรีและนักแต่งเพลงแล้ว ทอย ธันวา ยังรับหน้าที่เป็นโปรดิวเซอร์ให้ศิลปินอีกหลายๆ คน เขารับหน้าที่นี้มาตั้งแต่อายุ 17 ปี มีศิลปินมากมายผ่านมาของเขามาแล้ว อาทิ ทอม Room39 วง Retrospect เบล สุพล และวงโปเตโต้
บทบาทในฐานะโปรดิวเซอร์
“เวลาผมทำงานกับศิลปินแต่ละคน ผมจะสังเกตุก่อนว่าตัวเขาชอบอะไร เรื่องราวรอบตัวเขาเป็นอย่างไร แม้แต่ความรักของเขา คือต้องรู้ทุกอย่างที่เป็นตัวเขาทั้งหมด แล้วจึงขึ้นเนื้อเพลงท่อน verse จากนั้นดูแนวเพลงของศิลปินว่าเขาต้องการแนวไหน พอทุกอย่างเข้ารูปเข้าร่าง ขึ้นเมโลดี้แล้วอัดร้องปกติเลยครับ การทำเพลงแต่ละครั้งผมก็จะใส่ความเป็นตัวเองไปด้วยประมาณ 50 % และสิ่งที่ศิลปินต้องการอีก 50 % เพราะจะได้รู้ว่าครึ่งหนึ่งเป็นทางของเราและอีกครึ่งเป็นทางของเขา”
สุดท้ายคุณนิยามการทำเพลงของคุณไว้ว่า
“ผมไม่ได้มองการทำเพลงว่าเป็นงาน แต่ผมมองว่า ทุกครั้งที่ทำเพลงมันคือการทดลอง ทดลองที่จะข้ามผ่าน ทดลองที่จะลองอะไรใหม่ๆ ทดลองที่จะเอาสิ่งที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันมาผสมกัน แล้วพอผ่านไปได้สุดท้ายมันก็กลายเป็นเพลงไปแล้วครับ”