ปีนี้ไม่ใช่ปีทองของอูเบอร์ เนื่องจากเผชิญทั้งเรื่องอื้อฉาวช่วงต้นปีจากการที่ผู้บริหารไปมีปากเสียงกับคนขับรถ และยังมีคดีความกับรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลก รวมถึงไทย ล่าสุดอูเบอร์ยังถูกศาลอียูตัดสินว่ามีสถานะเป็นบริษัทขนส่ง ทำให้ต้องอยู่ใต้กฎหมายเดียวกับแท็กซี่
ศาลยุติธรรมสหภาพยุโรป ตัดสินให้อูเบอร์มีสถานะเป็น “บริษัทให้บริการด้านขนส่ง” ไม่ใช่แต่แพลทฟอร์มการบริการด้านเทคโนโลยีอย่างที่บริษัทกล่าวอ้าง ซึ่งคำตัดสินดังกล่าวจะมีผลให้การประกอบธุรกิจของอูเบอร์ในประเทศสมาชิกอียู จะต้องสอดคล้องกับกฎหมายควบคุมการขนส่งทางบก เช่นเดียวกับผู้ให้บริการรถรับจ้างทั่วไปหรือแท็กซี่ รวมถึงการต้องให้คนขับขึ้นทะเบียนและผ่านการทดสอบที่เข้มงวดขึ้น
อย่างไรก็ตาม ผู้ขับขี่รถอูเบอร์ก็จะได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายมากขึ้น รวมถึงค่าชดเชยกรณีเลิกจ้าง ประกันชั่วโมงทำงาน และสวัสดิการอื่นๆในฐานะพนักงานของอูเบอร์ หลังจากที่ผ่านมา คนขับอูเบอร์ทั่วโลกแสดงความไม่พอใจมาตลอดที่อูเบอร์บอกว่าคนขับรถไม่ใช่ลูกจ้าง แต่เป็น “หุ้นส่วนธุรกิจ” ทำให้บริษัทไม่รับผิดชอบสวัสดิการใดๆ
คำตัดสินนี้แม้จะมีผลเฉพาะในยุโรป แต่จะมีอิทธิพลอย่างมากต่อการจัดการข้อพิพาทระหว่างอูเบอร์และรัฐบาลหลายประเทศทั่วโลก เนื่องจากที่ผ่านมา อูเบอร์ใช้ช่องว่างทางกฎหมายอ้างว่าเป็นแพลทฟอร์มดิจิทัลที่เชื่อมระหว่างผู้ขับกับผู้ใช้บริการ เพื่อหลีกเลี่ยงข้อบังคับทางกฎหมาย จนสหภาพแท็กซี่ในหลายประเทศ โดยเฉพาะในยุโรป ร้องเรียนว่าอูเบอร์เอาเปรียบผู้ประกอบการดั้งเดิม ทำให้เกิดการแข่งขันที่ไม่เป็นธรรม
สำหรับคดีที่ถูกตัดสินโดยศาลยุโรปครั้งนี้ ก็เกิดจากการฟ้องร้องของสหภาพแท็กซี่นครบาร์เซโลนาของสเปน ซึ่งไม่พอใจที่อูเบอร์ให้บริการโดยไม่ต้องเป็นไปตามกฎหมายควบคุมการขนส่งของเมืองอย่างไรก็ตาม อูเบอร์ออกแถลงการณ์ระบุว่าคำตัดสินจากศาลยุโรป ไม่ส่งผลกระทบใดๆต่อการดำเนินกิจการของบริษัท เพราะที่ผ่านมา อูเบอร์ก็ปฏิบัติตามกฎหมายของแต่ละประเทศอยู่แล้ว และจากนี้อูเบอร์ก็จะเดินหน้าแสวงหาความร่วมมือกับรัฐบาลท้องถิ่นแต่ละที่ต่อไป เพื่อให้การออกกฎหมายควบคุมธุรกิจใหม่ๆ อย่างอูเบอร์เป็นไปอย่างราบรื่นและเป็นธรรมที่สุด
ท่าทีดังกล่าวถูกมองว่าเป็นการสร้างความเชื่อมัน เพื่อเตรียมพร้อมบริษัทสู่การเปิดขายหุ้นในปี 2019 ซึ่งอุปสรรคใหญ่ที่อูเบอร์ต้องข้ามไปให้ได้ ก็คือเรื่องอื้อฉาวภายในองค์กรเองอย่างการคุกคามทางเพศในที่ทำงาน ปัญหาคนขับก่ออาชญากรรม และที่สำคัญคือการเจรจากับรัฐ��าลต่างๆ เพื่อดำเนินกิจการอย่างถูกกฎหมาย
การจัดระเบียบอูเบอร์อาจถูกมองว่าเป็นไปเพื่อความปลอดภัยของผู้บริโภคและเพื่อให้เกิดความเท่าเทียมในการประกอบธุรกิจ แต่รัฐบาลก็จำเป็นต้องระวังในการหาจุดสมดุลระหว่างการออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองความปลอดภัยของผู้บริโภค และคุ้มครองสวัสดิภาพแรงงานของผู้ขับอูเบอร์ กับการไม่ออกกฎที่เข้มงวดเกินไป จนปิดกั้นการพัฒนานวัตกรรม และการเติบโตของธุรกิจแชริง ซึ่งเป็นอนาคตของโลก