ปัจจุบันหลายบริษัทพยายามแข่งขันกันพัฒนาเทคโนโลยีรถยนต์ไฟฟ้า แต่ล่าสุด ได้มีการตั้งคำถามว่าการใช้ไฟฟ้ากับรถยนต์และระบบทำความร้อน จะสามารถช่วยลดโลกร้อนได้อย่างที่หลายฝ่ายคาดการณ์จริงหรือไม่
ท่ามกลางกระแสความตื่นตัวเกี่ยวกับการใช้รถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งจะเห็นได้จากการที่ค่ายรถยนต์ยักษ์ใหญ่แต่ละแห่ง รวมถึงบริษัทเทคโนโลยี ต่างแข่งกันพัฒนารถยนต์ไฟฟ้า โดยมุ่งให้มีศักยภาพใกล้เคียงกับรถยนต์ที่ใช้เชื้อเพลิงแบบดั้งเดิมมากที่สุด แต่บทความล่าสุดจากบลูมเบิร์กที่ใช้ชื่อว่า Electrifying the World Is No Panacea for Global Warming, IEA Says หรือ 'องค์การพลังงานระหว่างประเทศชี้ การทำทุกอย่างในโลกให้เป็นไฟฟ้าไม่ใช่ยาครอบจักรวาลสำหรับแก้ปัญหาโลกร้อน' เพราะสิ่งที่สำคัญที่สุดในการบรรเทาปัญหาโลกร้อนคือต้องลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนให้ได้เสียก่อน ขณะที่ การใช้รถยนต์ไฟฟ้าอาจเป็นการเพิ่มมลพิษทางอากาศเสียด้วยซ้ำ
องค์การพลังงานระหว่างประเทศ หรือ IEA ได้ออกมาประเมินภาพรวมการใช้พลังงานและคาดการณ์สถานการณ์ในอนาคตในรายงาน World Energy Outlook ประจำปี ว่าการที่จะลดปริมาณมลพิษที่เป็นอันตรายต่อประชากรโลกให้ได้ภายในปี 2040 หรือในอีก 22 ปีข้างหน้านั้น มาตรการเปลี่ยนทุกอย่างให้เป็นไฟฟ้าเพียงอย่างเดียว ไม่สามารถทำให้บรรลุผลได้ แต่จำเป็นต้องมีนโยบายลดการปล่อยแก๊สคาร์บอนที่บังคับใช้อย่างจริงจังกว่านี้ และต้องปรับปรุงประสิทธิภาพของพลังงานแต่ละประเภทด้วย
ล่าสุด องค์การสหประชาชาติเพิ่งออกมาเรียกร้องให้จัดตั้งงบประมาณ 2.4 ล้านดอลลาร์ หรือ 79 ล้านล้านบาท สำหรับลงทุนในพลังงานสะอาด เพื่อรักษาสภาพแวดล้อมที่เสียหายจากมลพิษทางอากาศ โดยความเชื่อทั่วไปคือการใช้ยานพาหนะและระบบทำความร้อนพลังงานไฟฟ้าจะช่วยให้บรรลุเป้าหมายนี้เร็วขึ้น ซึ่งก็เป็นหัวใจหลักของข้อตกลงปารีสเมื่อปี 2015 ด้วย
ด้าน ลอรี มิลลิเวียร์ตา นักวิเคราะห์อาวุโสด้านมลพิษทางอากาศของกรีนพีซ ให้ความเห็นไว้ว่า การใช้ไฟฟ้าเป็นสิ่งจำเป็นในการลดคาร์บอน แต่การใช้ไฟฟ้าเช่นนี้จะได้ผลเมื่อภาคส่วนอื่น ๆ ที่ทำหน้าที่ผลิตพลังงานพร้อมใจกันมุ่งหน้าสู่มาตรฐาน zero emissions หรือ การไม่ปล่อยคาร์บอน ด้วยความมุ่งมั่นที่เท่ากัน
ตั้งแต่ต้นศตวรรษที่ 21 เป็นต้นมา หรือก็คือช่วงขึ้นปี 2000 การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์เพิ่มขึ้นเฉลี่ย 2.3 เปอร์เซ็นต์ต่อปี โดยมีผู้ปล่อยรายใหญ่อย่างโรงไฟฟ้าพลังถ่านหิน อย่างไรก็ตาม การเติบโตดังกล่าวเริ่มชะลอตัวลง หลังการรณรงค์ใช้พลังงานสะอาดและใช้ไฟฟ้าแทนเชื้อเพลิงดั้งเดิม ขณะที่ การปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ทั่วโลกเมื่อปีที่แล้วยังคงเพิ่มขึ้น 1 เปอร์เซ็นต์ จากปีก่อนหน้า ซึ่ง IEA คาดว่าเมื่อสิ้นสุดปี 2018 นี้ ปริมาณการปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์จะสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์
ขณะเดียวกัน การเปลี่ยนไปใช้พลังงานไฟฟ้าก็กำลังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากการใช้พลังงานไฟฟ้ารวม 19 เปอร์เซ็นต์ จากพลังงานทั้งหมดในปัจจุบัน สามารถเพิ่มสัดส่วนเป็น 65 เปอร์เซ็นต์ได้ หากนโยบายที่แต่ละประเทศออกมาได้รับการบังคับใช้ทั่วโลก ขณะที่ พลังงานลมและแสงอาทิตย์ก็คิดเป็น 6 เปอร์เซ็นต์ของการผลิตไฟฟ้าทั้งหมด เทียบกับเมื่อปี 2000 ที่มีอยู่เพียง 0.2 เปอร์เซ็นต์เท่านั้น นอกจากนี้ การลงทุนในภาคส่วนนี้ยังมีมูลค่าสูงถึง 750,000 ล้านดอลลาร์ หรือ 25 ล้านล้านบาท ในปี 2017 ด้วย มากกว่าการลงทุนในน้ำมันและแก๊สเป็นปีที่สองติดต่อกัน
สำหรับภูมิภาคที่เป็นผู้นำด้านพลังงานทางเลือก ได้แก่ เอเชีย ซึ่งมีปริมาณการใช้ครึ่งหนึ่งของการใช้แก๊สธรรมชาติทั้งโลก และ 60 เปอร์เซ็นต์ ของพลังงานลมและแสงอาทิตย์ นอกจากนี้ ยังมีการเติบโตด้านพลังงานนิวเคลียร์สูงอีกด้วย โดยปัจจุบันบริษัทพลังงานสัญชาติจีนมีสัดส่วนการผลิตคิดเป็น 1 ใน 8 ของพลังงานที่ใช้ทั่วโลก โดยผู้ผลิตชั้นนำ 6 ใน 10 แห่ง อยู่ในทวีปเอเชีย
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่หลายฝ่ายโดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศไทยยังไม่ค่อยตั้งคำถามกันเท่าไรนัก ก็คือที่มาของพลังงานไฟฟ้า ที่จะมาใช้เป็นเชื้อเพลิงของรถยนต์และระบบทำความร้อนหรืออื่น ๆ ในอนาคต เพราะหากไฟฟ้าที่ได้มาจากโรงไฟฟ้าถ่านหิน และถ่านหินตามธรรมชาติในแต่ละประเทศก็มี 'เกรด' หรือคุณภาพการเผาไหม้แตกต่างกัน ก็อาจเป็นไปได้ว่าการใช้รถยนต์ไฟฟ้าในบางประเทศ จะยังคงปล่อยแก๊สคาร์บอนขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศในปริมาณไม่ต่างจากเดิม เท่ากับว่าจะไม่ช่วยบรรเทาปัญหาโลกร้อน อย่างที่บทความของบลูมเบิร์กนำเสนอเช่นกัน