ไม่พบผลการค้นหา
ศปก.ศบค. เตรียมชง ศบค.ชุดใหญ่ ปรับลดพื้นที่โซนสีส้มเป็นสีเหลืองมากขึ้น คงมาตรการเข้าประเทศตามเดิม ปัดถกเปิดสถานบันเทิง ผับ บาร์ เตรียมเปิด One Day Trip ทางบก ชายแดนลาว ด้าน เลขาฯ สมช.ย้ำเปิดผับ-บาร์ ยังเสี่ยงแพร่เชื้อสูง ส่วนถอดแมสก์ยังจำเป็นต้องสวม เหตุติดเชื้อง่ายอยู่

วันที่ 17 มี.ค. 2565 การประชุมศูนย์ปฏิบัติการศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ ศปก.ศบค. จะมีการปรับลดมาตรการพื้นที่โซนสีโดยปรับพื้นที่สีส้มเดิมให้เป็นสีเหลืองมากขึ้นในส่วนของพื้นที่ที่มีสถานการณ์คลี่คลาย แต่ยังไม่มีการระบุชัดเจนว่าจะมีพื้นที่ใดบ้าง โดยขอให้รอฟังหลังการหารือ ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด 19 หรือ ศบค. ชุดใหญ่ ที่มี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมในฐานะผอ. นั่งเป็นประธานในวันที่ 18 มี.ค.นี้

ส่วนการปรับรูปแบบไทยแลนด์พาส การเดินทางเข้าประเทศนั้น ที่ประชุมในวันนี้ยังไม่มีการหารือแต่อย่างใด โดยยังคงมาตรการให้ตรวจ RT -PCR ในวันแรก และตรวจ ATK ในวันที่ 5 และส่งผลตรวจไปยังแอปพลิเคชันตามเดิม 

นอกจากนี้ ที่ประชุมในวันนี้ยังไม่มีการหารือในประเด็นการผ่อนคลายมาตรการเปิดผับ บาร์สถานบันเทิง แต่อย่างใด พร้อมกับยอมรับว่าการหารือในครั้งนี้จะไม่มีการปรับมาตรการอะไรมากมาย เพียงแต่จะมีการปรับมาตรการเรื่องของการท่องเที่ยว One Day Trip ในทางบก ที่ต้องมีการปรับรูปแบบอีกนิดหน่อย ในบางพื้นที่บางจังหวัด โดยส่วนใหญ่อยู่ในพื้นที่ติดกับชายแดนประเทศลาว

ส่วนมาตรการในช่วงเทศกาลสงกรานต์ จะเป็นไปตามที่กรมอนามัยได้เสนอมา โดยไม่อนุญาตให้มีการเล่นน้ำตามปกติ แต่จะเป็นในรูปแบบการดำเนินกิจกรรมตามประเพณี ซึ่งในช่วงบ่ายวันนี้จะมีการลงในรายละเอียดอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งที่ประชุมไม่ได้มีประเด็นถกเถียงหรือข้อกังวลอื่นแต่อย่างใด

ชงสงกรานต์​ได้แล้ว​แต่ยังงดเล่น​น้ำ แจงถอดแมสก์แค่แผนหลังโควิดเป็นโรคประจำถิ่น​

ขณะที่ก่อนหน้านี้ พล.อ.สุพจน์​ มาลานิยม​ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ​ (สมช.)​ ในฐานะผอ.ศปก.ศบค.​ กล่าวถึงมาตรการที่จะมีการผ่อนคลายก่อนเสนอที่ประชุม​ ศบค.ชุดใหญ่ในวันพรุ่งนี้​ (18 มี.ค.) ว่า จะมีการประเมินในหลายเรื่องตามวงรอบ​ โดยจะมีการปรับพื้นที่สถานการณ์แม้ว่าสถานการณ์บางพื้นที่ มีจำนวนผู้ติดเชื้อทรงตัวและลดลง หากเปรียบเทียบจากเดือนที่แล้วอาจสูงกว่าเดิม จึงจะมีการปรับลดมาตรการในบางพื้นที่เพื่อให้สอดคล้องกับสถานการณ์​ นอกจากนี้​ จะมีการพิจารณามาตรการในช่วงเทศกาลสงกรานต์​ โดยกระทรวงสาธารณสุขได้จัดทำข้อมูลไว้เรียบร้อยแล้ว​ โดยจะอนุญาตให้สามารถจัดงานได้ภายใต้มาตรการ​ป้องกันโรค​ ที่​กระทรวงสาธารณสุข​ ได้กำหนดมาตรการออกมาอย่างละเอียดและชัดเจน​ โดยกระทรวงสาธารณสุข​กระทรวงวัฒนธรรม​ และกระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา​ ซึ่งเน้นย้ำว่า​ การจัดงานเทศกาลสงกรานต์จะต้องจัดตามมาตรการที่กำหนดเท่านั้น​ โดยขั้นต้นเสนอให้มีการลดน้ำส่งน้ำพระดำเนินกิจกรรมในวัดได้​ แต่ทุกที่ต้องจัดด้วยความระมัดระวัง​ โดยให้กระทรวงมหาดไทย​ ใช้กลไกในการปกครองท้องที่​กำกับลงไปถึงหมู่บ้าน​ ส่วนจะสามารถเล่นน้ำในหมู่บ้าน​ได้หรือไม่​ นั้น​ ยังไม่อนุญาต​ แต่จะมีการจัดกิจกรรมแบบโซนนิ่งตามประเพณี

พร้อมกันนี้ ทางกระทรวงสาธารณสุข​ ยังเตรียมที่จะปรับให้โรคโควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น โดยย้ำว่าเป็นเพียงแผนและกรอบเพื่อให้พิจารณา และแนะนำเพิ่มเติม​ ก่อนนำไปพิจารณาเพิ่มเติมต่อไป

รับเสี่ยงเปิดผับ-บาร์ แพร่เชื้อสูงต้องรอบคอบก่อนเปิด

ขณะที่การพิจารณาผ่อนคลายเปิดสถานบันเทิงผับบาร์​ คาราโอเกะ​ ทั่วประเทศ​ พล.อ.สุ​พจน์​ ยอมรับว่าในเรื่องนี้ ได้มีการเสนอเข้าที่ประชุม​ ศบค.ทุกครั้ง​ และได้พิจารณาช่วยเหลือผู้ประกอบการมาโดยตลอด​ แต่ยอมรับว่า​ มีปัจจัยหลายประเด็นที่จะต้องพิจารณาเนื่องจากเป็นกิจกรรมกิจการที่มีความเสี่ยงสูงมาก​ และอยู่ในสถานที่ปิด มีโอกาสแพร่เชื้อสูง​ จึงต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ แต่อยากให้มีการพิจารณาในประเด็นที่สำคัญด้วย​ เช่น​ ในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่เชื้อโควิค-19 สายพันธุ์โอไมครอน สามารถกระจายได้อย่างรวดเร็ว​ แม้จะไม่รุนแรงก็ตาม ซึ่งประเทศไทยมีปัญหาเรื่องผู้สูงอายุ และกลุ่มเปราะบาง 608​

นอกจากนี้​ ยังระบุด้วยว่ากิจการที่เสี่ยงมากหาก ตัดสินใจเปิด และต้องลงทุนสูง​ แต่ไม่ประสบความสำเร็จก็เป็นเรื่องที่น่ากังวล

พล.อ.สุ​พจน์​ ยืนยันว่า​ การผ่อนคลายมาตรการ​ไม่สวนทางกับจำนวนผู้ติดเชื้อในปัจจุบัน​ โดยเป็นไปตามที่สาธารณสุข​ ได้คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้​ แต่มีความ จำเป็นต้องผ่อนคลายมาตรการ​ เพื่อให้เศรษฐกิจเดินหน้าต่อไปได้​ ประชาชนมีงานทำ มีรายได้ ซึ่งจะต้องมีมาตรการที่ดีที่สุดออกมา​ เพื่อให้การติดเชื้อ ไม่มีอันตราย​ โดยย้ำว่า​ สิ่งสำคัญที่สุดคือวัคซีน​ ซึ่งมีผลที่ยืนยันมาโดยตลอดว่าผู้ที่ฉีดวัคซีนแล้ว​ เมื่อติดเชื้ออาการไม่รุนแรง​ จึงเป็นสิ่งที่​ ศบค.ห่วงใยมากที่สุด เนื่องจากตัวเลขผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตร้อยละ 90​ คือ​ กลุ่มผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว​ จึงขอ ความร่วมมือทุกภาคส่วนช่วยกันทำให้ผู้สูงอายุได้รับวัคซีน​ โดยขอให้ไปฉีดวัคซีนเข็มกระตุ้น​ หากได้รับวัคซีนเข็มสุดท้ายภายใน 3-6 เดือน

ขณะที่การปรับมาตรการ Thailand Pass สำหรับผู้ที่เดินทางเข้าประเทศ​ พล.อ.สุพจน์​ ยอมรับว่า มีการปรับมาตรการเดินทางเข้าประเทศที่จะมีการพิจารณาปัจจัยการเดินทาง ทั้งจากภายในและภายนอกประเทศ​ ซึ่งจะมีการอำนวยความสะดวกให้มากยิ่งขึ้น​ โดยมาตรการป้องกันโรคจะต้องเป็นที่ยอมรับได้ แต่มีโอกาสที่จะต้องจองที่พัก 1 คืน​ เพื่อรอผลตรวจหาเชื้อ ยืนยันก่อน​ โดย แผนที่จะปรับการตรวจแบบ​RT-PCR​ 1 ครั้ง เป็นการตรวจแบบ ATK​ แต่จะเห็นได้ว่าจากสถานการณ์ปัจจุบัน พื้นที่ท่องเที่ยวยังมีตัวเลขผู้ติดเชื้อที่สูง​ แต่แพทย์​จะต้องมีการพิจารณาว่าจะปรับได้แค่ไหน​ แต่ยืนยันว่า​จะมีการปรับมาตราการในส่วนนี้อย่างแน่นอน โดยการส่งผลในวันที่ 5 หลังเดินทางเข้าประเทศยังถือว่าเป็นข้อแนะนำ​ แต่ยืนยันว่าจะไม่มีการยกเลิกการตรวจหาเชื้อหลังเดินทางเข้าประเทศ​ ส่วนจะเป็น RT-PCR​ หรือ​ ATK​ ต้องพิจารณาอีกครั้ง

ขณะที่กระทรวง​สาธารณสุข​ ออกข้อเสนอให้เปิดหน้ากากอนามัยในที่สาธารณะ​ พล.อ.สุพจน์​ ชี้แจงว่า​ กระทรวงสาธารณสุข​ ได้เตรียมแผนการไว้เพื่อนำไปสู่การประกาศให้โควิด-19 เป็นโรคประจำถิ่น และเข้าสู่การรักษาพยาบาลแบบโรคติดต่อ​ทั่วไป​ เพื่อให้ที่ประชุมได้พิจารณากรอบการดำเนินการในเบื้องต้น​ ส่วนที่ประชุมจะพิจารณาหรือไม่​ แต่ตนเองยืนยันว่าการสวมหน้ากากอนามัย อย่างจำเป็นในสถานการณ์ตั้งแต่บัดนี้จนถึงการพิจารณว่ามีความเหมาะสมที่จะเปิดหน้ากากได้ปลอดภัย​ เพราะผู้ที่ติดเชื้อแล้วก็มีโอกาสที่จะติดซ้ำได้อีก​ และถ้าหากทบทวน ถึงการติดเชื้อในช่วง 2 ปีที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า หน้ากากอนามัยเป็นเครื่อ​งมือที่มีความสำคัญที่ป้องกันไม่ให้ประเทศเรามีการแพร่ระบาดรายวันเป็นแสน​เป็นล้านคนอย่างหลายประเทศทั่วโลก​ ดังนั้นข่าวที่ออกมาเป็นเพียงแผนการ ที่ต้องประเมินอย่างต่อเนื่อง 3 เดือน​ 5 เดือน​ 6 เดือน

ส่วนโอกาสที่จะมีการผาอนคลายให้มีการจัดเวทีคอนเสิร์ตไม่ว่าจะเป็นศิลปินในประเทศหรือต่างประเทศ​ พล.อ.สุพจน์​ กล่าวว่า เราได้มีมาตรการต่อเนื่อง ซึ่งต้องกลับไปดูมาตรการที่มีมาก่อนหน้านี้ ว่า​ การจัดกิจกรรมต่างๆ​ นั้น​ จะทำได้อย่างไร​ ซึ่งได้เน้นย้ำในเรื่องของมาตรการการควบคุมโรคทุกเรื่องจะต้องผ่านความเห็นชอบจากที่ประชุมศบค.ก่อน​ โดยมีนายกรัฐมนตรี​ เป็นผู้ตัดสินใจ​ ภายใต้คณะกรรมการ​ ทางนี้พลเอกสุพจน์ยืนยันว่าการประกาศใช้​ พรก.ฉุกเฉิน​ยังมีความจำเป็นในช่วงเวลานี้อยู่​ เพราะเป็นเครื่องมือสำคัญที่จะใช้ในการป้องกันประชาชน เมื่อใดที่หมดความจำเป็น​ ขออย่ากังวล โดยตนเอง เสนอผู้ที่เกี่ยวข้องยกเลิก​ทันที เมื่อประกาศให้เป็นโรคประจำถิ่น​ และใช้กฎหมายปกติ