วันนี้ (17 ก.ย. 2568) เวลา 15.40 น. กองทัพบกได้รับรายงานจากกองกำลังบูรพา กรณีฝ่ายกัมพูชาได้นำประชาชนและมวลชนประมาณ 200 คน มาชุมนุมประท้วงการปฏิบัติของฝ่ายไทย ระหว่างการวางเครื่องกีดขวางและลวดหีบเพลงเสริมความมั่นคงตามแนวชายแดนไทย–กัมพูชา บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว
ฝ่ายไทยได้ชี้แจงทำความเข้าใจกับผู้ชุมนุมและดำเนินการวางลวดหีบเพลงตามแผนการปฏิบัติ อย่างไรก็ตาม กลุ่มมวลชนกัมพูชายังคงแสดงการประท้วงอย่างต่อเนื่อง
ต่อมา เวลา 16.20 น. เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยจำเป็นต้องใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยางควบคุมสถานการณ์ ส่งผลให้กลุ่มผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่ควบคุมฝูงชนถอยห่างออกจากแนวปะทะ เนื่องจากผลของแก๊สน้ำตา
จนถึงเวลาประมาณ 17.00 น. ฝ่ายไทยยังคงดำเนินการเสริมความมั่นคงตามแนวชายแดน โดยการวางแนวลวดหนามเพิ่มเติมและใช้ยางรถยนต์ประกอบ รวมถึงควบคุมการประท้วงโดยใช้แก๊สน้ำตา กระสุนยาง และเครื่อง LRAD ขณะที่ฝ่ายกัมพูชาเริ่มถอยออกจากพื้นที่ และมีการตะโกนต่อว่าเจ้าหน้าที่ไทยเป็นระยะ รวมทั้งมีการใช้ความรุนแรงโดยการขว้างปาท่อนไม้ ก้อนหิน และยิงหนังสติ๊กมายังเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย จนมีเจ้าหน้าที่ได้รับบาดเจ็บ ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ยังคงติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด
จากกรณีเหตุการณ์ในวันนี้ (17 ก.ย. 68) ที่มวลชนกัมพูชาชุมนุมประท้วงขัดขวางเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทย ขณะวางเครื่องกีดขวางเสริมความมั่นคง บริเวณบ้านหนองหญ้าแก้ว อำเภอโคกสูง จังหวัดสระแก้ว จนเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยต้องใช้มาตรการสากลเข้าควบคุมระงับเหตุ ไม่ให้ลุกลามขยายตัวจนเป็นการจลาจล
พลตรี วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก เปิดเผยว่า เหตุดังกล่าวสืบเนื่องจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 16 ก.ย. 68 ที่ผ่านมา มวลชนกัมพูชาเข้าทำการรื้อถอนสิ่งกีดขวางป้องกันตนเองของฝ่ายไทย ในพื้นที่บ้านหนองหญ้าแก้ว ซึ่งอยู่ในเขตอธิปไตยไทยอย่างชัดเจน และเช่นเดียวกับในวันนี้ หลังจากที่เจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยพยายามเข้าวางเครื่องกีดขวางเสริมความมั่นคงในบริเวณดังกล่าว กลับพบการเข้าขัดขวางของมวลชนกัมพูชาจำนวนมาก ซึ่งส่วนใหญ่มีอาวุธเป็นท่อนไม้และหนังสติ๊ก จนสุดท้ายจำเป็นต้องใช้กำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดควบคุมฝูงชนเข้าระงับเหตุตามหลักสากล ด้วยการใช้แก๊สน้ำตาและกระสุนยาง เพื่อป้องกันไม่ให้สถานการณ์ลุกลามเป็นการจลาจล
ทั้งนี้ ได้รับรายงานว่าเจ้าหน้าที่บางส่วนได้รับบาดเจ็บจากการถูกขว้างปาด้วยท่อนไม้ ก้อนหิน รวมถึงถูกยิงด้วยหนังสติ๊ก
โฆษกกองทัพบกยังได้ย้ำว่า สถานการณ์ดังกล่าวถือว่ามวลชนกัมพูชารุกล้ำเข้ามาในพื้นที่ประเทศไทย ขัดขวางการปฏิบัติงานและทำลายสิ่งของของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นการกระทำที่ชัดเจนว่าผิดต่อกฎหมายของประเทศไทยในหลายมาตรา โดยเจ้าหน้าที่ฝ่ายกัมพูชาเพิกเฉยและมิได้ดำเนินการ ห้ามปรามแต่อย่างใด ซึ่งมองว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นการยั่วยุ เป็นความตั้งใจที่จะละเมิดในข้อตกลงหยุดยิงโดยให้ประชาชนเป็นผู้ออกหน้า
ดังนั้น การเข้าดำเนินการโดยเจ้าหน้าที่ตำรวจในการระงับเหตุ และใช้เครื่องมือที่เน้นการผลักดันเพื่อระงับเหตุจลาจล จึงถือว่าเป็นไปตามหลักสากล และเหมาะสมต่อสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
ยืนยันว่าพื้นที่ที่เกิดเหตุอยู่ในเขตพื้นที่อธิปไตยไทยอย่างชัดเจน อีกทั้งไม่ได้อยู่ในเขตพื้นที่ที่กัมพูชาอ้างสิทธิ์ หรืออยู่ในเขตพื้นที่ของกัมพูชา อย่างที่ทางฝ่ายกัมพูชาพยายามให้ข้อมูลบิดเบือน เชื่อว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่าย การกระทำผิดกฎหมายของประเทศไทย อย่างชัดเจน