ไม่พบผลการค้นหา
​'หัวเว่ย' ทุบสถิติใหม่ โค่นแชมป์ 'ซัมซุง' ขึ้นแท่นแบรนด์สมาร์ตโฟนยอดขายสูงที่สุดในโลกสำเร็จเป็นครั้งแรก

สำนักข่าว CNN รายงานอ้างอิงผลงานวิจัยด้านการตลาดจาก Canalys ซึ่งเผยแพร่เมื่อวันที่ 30 ก.ค. ระบุว่า ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ หรือระหว่างเดือน เม.ย.-มิ.ย. 2563 ที่ผ่านมา บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่สัญชาติจีนอย่าง 'หัวเว่ย' ทำยอดขายสมาร์ตโฟนได้อย่างถล่มทลายไปกว่า 55.8 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1,753 ล้านบาท ซึ่งเป็นมูลค่าที่มากกว่าคู่แข่งอันดับหนึ่งตลอดกาลจากเกาหลีใต้อย่าง 'ซัมซุง' เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ โดยซัมซุงทำรายได้จากการขายสมาร์ตโฟนในช่วงเวลาเดียวกันไปทั้งสิ้น 53.7 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือราว 1,687 บาท น้อยกว่าหัวเว่ยเพียง 66 ล้านบาทเท่านั้น

โม เจีย นักวิเคราะห์จาก Canalys ชี้ว่า การขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งด้านยอดขายสมาร์ตโฟนนั้นมีความสำคัญต่อบริษัทหัวเว่ยเป็นอย่างมาก เพราะหัวเว่ยต้องการที่จะทำให้โลกได้เห็นถึงความแข็งแกร่งของแบรนด์หัวเว่ย ที่มีต่อทั้งผู้บริโภคภายในประเทศ ผู้ผลิตชิ้นส่วนให้กับบริษัท และนักพัฒนาเทคโนโลยีของหัวเว่ย

รายงานการวิจัยด้านการตลาด Canalys ยังชี้ด้วยว่า ที่ผ่านมาบริษัทหัวเว่ยต้องเผชิญกับความท้าทายอย่างหนักจากการที่รัฐบาลของสหรัฐฯ ออกมาตรการกดดันและต่อต้านสินค้าภายใต้บริษัทหัวเว่ยมาอย่างต่อเนื่องในระดับนานาชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วง 1 ปีเต็มที่ผ่านมา ส่งผลให้ยอดการส่งออกสินค้าจากแบรนด์หัวเว่ยนั้นลดลงมากกว่า 5 เปอร์เซ็นต์ อย่างไรก็ตาม แม้ยอดการส่งออกสมาร์ตโฟนหัวเว่ยจะได้รับผลกระทบอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน โทรศัพท์สมาร์ตโฟนจากซัมซุงกลับเผชิญความท้าทายที่ใหญ่กว่า ด้วยยอดการส่งออกที่ลดลงมากถึง 30 เปอร์เซ็นต์ในช่วงเวลาเดียวกัน

งานวิจัยฉบับนี้ชี้ว่า ยอดขายสมาร์ตโฟนของหัวเว่ยไม่มีทางที่จะสูงเท่านี้หากไม่มีการระบาดใหญ่ของโรคโควิด-19 เนื่องจากบริษัทหัวเว่ยได้ใช้จังหวะในช่วงของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจภายในประเทศจีน สร้างยอดขายสมาร์ตโฟนอย่างถล่มทลายไปกว่า 70 เปอร์เซ็นต์จากสมาร์ตโฟนทั้งหมดที่มีการผลิตออกมาในช่วงเวลานั้น ขณะที่บริษัทซัมซุงกินส่วนแบ่งทางการตลาดเพียงเล็กน้อยในจีน

อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ของหัวเว่ยในภาพรวมระดับนานาชาติถือว่ายังคงน่าเป็นห่วง เนื่องจากการถูกคว่ำบาตรโดยสหรัฐฯ และการถูกตัดขาดออกจากแบรนด์เทคโนโลยีรายใหญ่มากมายที่เป็นบริษัทสัญชาติอเมริกัน 

หัวเว่ยยังต้องเผชิญกับความจริงอันโหดร้ายที่ว่า "ผู้บริโภคจากนานาชาติไม่ต้องการที่จะซื้อสมาร์ตโฟนจากหัวเว่ยเมื่อเทียบกับแบรนด์อื่น" โดยมีเหตุผลหลักจากการที่สมาร์ตโฟนรุ่นใหม่ของหัวเว่ยนั้นไม่สามารถเข้าถึงแอปพลิเคชันชื่อดังระดับโลกจากบริษัทเทคโนโลยีสัญชาติอเมริกันได้ ไม่ว่าจะเป็น Google, Youtube, หรือ Gmail นี่จึงกลายเป็นความท้าทายหลักที่จะทำให้หัวเว่ยไม่สามารถ 'ยืนหนึ่ง' ในการเป็นบริษัทที่ทำยอดขายสมาร์ตโฟนได้มากที่สุดในโลกอย่างยั่งยืน ความแข็งแกร่งจากการบริโภคภายในประเทศของจีนอย่างเดียวไม่สามารถที่จะทำให้หัวเว่ยแข็งแกร่งตามที่ต้องการจะเป็นได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อสถานการณ์ทางเศรษฐกิจของโลกเริ่มคลี่คลายและฟื้นตัว 

ด้านโฆษกของบริษัทหัวเว่ยระบุว่า "หัวเว่ยได้แสดงถึงศักยภาพในการฟื้นตัวที่ดีเยี่ยมในช่วงที่ทั้งโลกกับลังก้าวผ่านวิกฤตการณ์ที่ยากลำบาก" อย่างไรก็ตาม ไม่มีการให้ความเห็นใดๆว่าหัวเว่ยจะมีกลยุทธ์ในการสร้างความยั่งยืนให้กับยอดขายจากสมาร์ตโฟนอย่างไร

ความสำเร็จของหัวเว่ยในครั้งนี้ ถูกเปิดเผยออกมาในวันเดียวกันกับที่บริษัทซัมซุงของเกาหลีใต้ รายงานตัวเลขผลกำไรของบริษัทในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ หรือระหว่างเดือน เม.ย.-มิ.ย. ที่ผ่านมา โดยแม้ว่าจะไม่สามารถเอาชนะบริษัทหัวเว่ยเรื่องของยอดขายสมาร์ตโฟนได้ แต่ในไตรมาสที่ 2 นี้ซัมซุงมีผลกำไรเพิ่มขึ้นกว่า 23 เปอร์เซ็นต์ เป็นผลมาจากความต้องการ 'ชิป' ที่สูงมาก ซึ่งมีส่วนช่วยบริษัทอย่างยิ่ง