ไม่พบผลการค้นหา
นับตั้งแต่ภาพยนตร์สารคดี Leaving Neverland ที่กล่าวหาไมเคิล แจ็คสันว่าละเมิดทางเพศเด็กชาย 2 คน เปิดพรีเมียร์เมื่อปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ทำให้เกิดกระแสแบนเพลงของไมเคิล แจ็คสัน ส่วนแฟนเพลงอีกส่วนก็วิพากษ์วิจารณ์ว่า ผู้กล่าวหาพยายามทำลายชื่อเสียงของนักร้องเพราะหวังได้เงิน

ปลายเดือน ม.ค.ที่ผ่านมา ภาพยนตร์สารคดี Leaving Neverland โดยผู้กำกับแดน รีดได้ฉายรอบพรีเมียร์ที่เทศกาลภาพยนตร์ซันแดนซ์ และเมื่อวันที่ 6-7 มี.ค.ที่ผ่านมา ภาพยนตร์นี้ถูกนำมาฉายที่แชนนัล 4 ของอังกฤษ ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผู้ชมรู้สึกตกใจอย่างมาก เนื่องจากเป็นเรื่องราวของเวด ร็อบสัน และเจมส์ เซฟชัค ผู้ชาย 2 คนที่ออกมากล่าวหาว่าไมเคิล แจ็คสัน ราชาเพลงป๊อปที่ล่วงลับไปเมื่อปี 2009 ได้ล่วงละเมิดทางเพศพวกเขาเมื่อตอนเป็นเด็ก โดยมีการเปิดเผยหลักฐานที่สำคัญเกี่ยวกับคดี รวมถึงเผยให้เห็นถึงผลกระทบต่อผู้กล่าวหาและครอบครัวของพวกเขาด้วย

คะแนนบนเว็บไซต์ Rotten Tomatoes ค่อนข้างดีอยู่ที่ 96% แต่คะแนนบนเว็บไซต์ IMDB อยู่ที่ 5.9 เท่านั้น โดยผู้ชมจำนวนมากมองว่า ภาพยนตร์เรื่องนี้แสดงให้เห็นถึงผลกระทบของการล่วงละเมิดทางเพศต่อเหยื่อและครอบครัว แรงกดดันส่วนตัวและจากสังคมในการตัดสินออกมาเปิดเผยเรื่องการถูกล่วงละเมิดทางเพศ

ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้คนเชื่อว่าไมเคิล แจ็คสันล่วงละเมิดทางเพศเด็กจริง แม้ในช่วงที่เขายังมีชีวิตอยู่ เขาได้ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา และการสืบสวนสอบสวนของตำรวจก็ไม่พบว่าเขามีความผิดแต่อย่างใด ภาพยนตร์เรื่องนี้ทำให้ผู้ชมหลายคนประกาศว่าจะไม่ฟังเพลงของไมเคิล แจ็คสันอีกต่อไป สถานีวิทยุหลายแห่งก็ประกาศว่าจะไม่เปิดเพลงแจ็คสัน ผู้จัดการ์ตูน The Simpsons ก็ประกาศหยุดเผยแพร่ตอนที่แจ็คสันพากษ์เสียงไว้ เพื่อเป็นการแสดงจุดยืนว่าพวกเขาไม่สนับสนุนการล่วงละเมิดทางเพศ

ในขณะที่บิลด์บอร์ดรายงานว่า ยอดขายอัลบั้มของแจ็คสันตกลง 8,000 ชุด หลังสารดคีนี้ออกมา แต่อัลบั้มรวมเพลงของแจ็คสันติดอันดับ 23 บนชาร์ตของ iTunes ในอังกฤษ อัลบั้มอื่นๆ ก็ขึ้นมาติดอันดับท็อป 200 ด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะครอบครัวและแฟนเพลงบางส่วนต่อต้านว่าสารคดีนี้เป็นการเล่าเรื่องด้านเดียว ไม่มีการสัมภาษณ์ครอบครัวแจ็คสัน หรือคนอื่นๆ ที่เกี่ยวข้อง ทำให้มีกระแสโต้กลับเพลงของแจ็คสันกลับมาติดชาร์ตให้หลายที่ มีการซื้อโฆษณาบนรถประจำทางในกรุงลอนดอนที่มีข้อความว่าไมเคิล แจ็คสันเป็นผู้บริสุทธิ์ และ “ความจริงไม่โกหก แต่คนโกหก”

Leaving Neverland พูดถึงอะไรบ้าง

Leaving Neverland แปลว่า ออกจาก “เนเวอร์แลนด์” บ้านของแจ็คสันที่เขาตั้งชื่อตามเกาะเนเวอร์แลนด์ในนิยายเรื่องปีเตอร์แพน เด็กชายที่ไม่มีวันโต ซึ่งเขามองว่าตัวเองเป็นปีเตอร์แพนที่ต้องการช่วยเหลือเด็กๆ คนอื่น สารคดี Leaving Neverland ได้สัมภาษณ์เวด ร็อบสัน และเจมส์ เซฟชัค ชายวัย 30 กว่าปีที่กล่าวหาว่าแจ็คสันล่วงละเมิดทางเพศพวกเขาในช่วงปี 1990 ที่พวกเขายังเป็นเด็ก

เนเวอร์แลนด์ Neverland

(เนเวอร์แลนด์ บ้านของไมเคิล แจ็คสัน ที่มีการอ้างว่าเกิดเหตุล่วงละเมิดทางเพศเด็ก)

เมื่อปี 1993 แจ็คสันถูกกล่าวหาว่าล่วงละเมิดทางเพศเป็นครั้งแรกโดยครอบครัวของจอร์ดี แชนด์เลอร์ วัย 13 ปีในขณะนั้น แต่คดีจบลงด้วยการไกล่เกลี่ยนอกศาล และไม่มีการแจ้งดำเนินคดีอาญาแต่อย่างใด

ส่วนปี 2005 แจ็คสันถูกตัดสินว่าไม่มีความผิดในข้อหาล่วงละเมิดทางเพศเด็กชายวัย 13 ปี ที่ชื่อเกวิน อาร์วิโซ ต่อมา ในปี 2013 ร็อบสันยื่นฟ้องครอบครัวของไมเคิล แจ็คสัน แต่ศาลไม่รับฟ้อง โดยให้เหตุผลว่า เขามาฟ้องคดีช้าเกินไป

แม้เวด ร็อบสันจะเคยเป็นพยานให้การเข้าข้างแจ็คสันในการฟ้องร้องคดีเมื่อปี 2005 แต่เขากลับมายอมรับในสารคดีเรื่องนี้ว่า เขาโกหกขณะให้การต่อศาล แต่เขาตัดสินใจที่จะเปิดเผยเรื่องนี้กับนักบำบัด หลังจากที่เขา “สติแตก” ไป 2 ครั้งและเมื่อเขามีลูก เขาก็คิดได้ว่าหากเรื่องเช่นนี้เกิดกับลูกชายของตัวเองก็คงจะเป็นเรื่องน่าเจ็บปวด น่ารังเกียจและน่าโกรธแค้นมาก

ร็อบสันเปิดเผยว่า การล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นเมื่อเขาอายุเพียง 7 ปี หลังจากที่เขาพบแจ็คสันครั้งแรก 2 ปี แจ็คสันพยายามจะมีเพศสัมพันธ์กับเขาทางทวารหนักเมื่ออายุ 14 ปี โดยแจ็คสันสั่งให้เขาถอดกางเกง

ด้านเซฟชัคกล่าวว่า แจ็คสันซื้อเครื่องประดับให้เขาหลายชิ้น และจัด “งานแต่งงานปลอมๆ” ของทั้งคู่ และแจ็คสันได้ล่วงละเมิดทางเพศเขาในหลายห้องใน “เนเวอร์แลนด์” นอกจากนี้ เซฟชัคยังอ้างว่า แจ็คสันและเขายังซ้อมแต่งตัวให้เร็วที่สุด ในกรณีที่ถูกขัดจังหวะ


Wade Robson เวด ร็อบสัน

(เวด ร็อบสัน หลังให้การต่อศาลช่วยเหลือไมเคิล แจ็คสันในปี 2005)


ครอบครัวไมเคิล แจ็คสันปฏิเสธข้อกล่าวหาและฟ้อง HBO

ตอนที่แจ็คสันยังมีชีวิตอยู่ เขาเคยตอบคำถามของพนักงานสอบสวนว่า เขาปฏิเสธทุกข้อกล่าวหาและเปรียบตัวเองเหมือนกับพระเยซู เขาระบุว่า “พระเยซูทรงรักเด็กและเป็นเหมือนเด็ก เยาว์วัย บริสุทธิ์และมีเกียรติ พระองค์ตรัสกับสาวกที่ต่อสู้กันว่าใครเป็นผู้ใหญ่ที่สุดว่า ใครก็ตามที่ถ่อมตนได้เหมือนกับเด็กคนนี้เป็นผู้ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดสำหรับพระองค์ พระเยซูจึงมักรายล้อมไปด้วยเด็ก และผมเติบโตมาเช่นนี้ ต้องการเป็นและเลียนแบบพระองค์”

ด้านครอบครัวของแจ็คสันออกแถลงการณ์หลังภาพยนตร์ฉายครั้งแรกว่า “พวกเขาไม่อาจทนดูสาธารณะล่าแม่มดไมเคิล โดยที่เขาไม่สามารถตอบโต้อะไรได้ ไม่เช่นนั้นก็จะไม่มีคนหยิบเรื่องนี้ขึ้นมากล่าวหาเขาในตอนนี้”

ด้านทัช หลานชายของไมเคิล แจ็คสันได้เริ่มแคมเปญระดมทุนสร้างภาพยนตร์สารคดีที่จะมาพิสูจน์ว่าข้อกล่าวหาใน Leaving Neverland ไม่ใช่ความจริง และแจ็คสันถูกทรยศ

พี่น้องตระกูลแจ็คสันและทัชให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าว CBS ว่า แจ็คสันส่ง “จดหมายรัก” ให้กับทุกคนที่เขารักและใส่ใจ พร้อมนำตัวอย่างจดหมายที่ไมเคิลส่งให้ญาติมาแสดง ไม่ได้เป็นจดหมายรักในเชิงกามารมณ์อย่างที่ผู้กล่าวหาพยายามจะสื่อ และทุกคนเคยชินที่มีเด็กๆ ไปนอนบ้านไมเคิล แจ็คสัน ดูหนังกัน ถือเป็นเรื่องปกติในเนเวอร์แลนด์ โดยตระกูลแจ็คสันเชื่อว่า ร็อบสันและเซฟชัคออกมาพูดเรื่องนี้เพราะต้องการเงิน

ครอบครัวแจ็คสันฟ้องค่าเสียหาย 100 ล้านดอลลาร์จาก HBO ที่นำภาพยนตร์เรื่องนี้มาฉาย โดยอ้างว่าช่อง HBO ละเมิดสัญญาที่เคยทำไว้กับแจ็คสันเมื่อปี 1992 ว่าจะไม่ดูหมิ่นแจ็คสันในรายการใดๆ ในอนาคต ซึ่งภาพยนตร์นี้ถือเป็นการนำเสนอข้อมูลเพียงด้านเดียว โดยที่แจ็คสันไม่สามารถปกป้องตัวเองได้


การสอบปากคำไมเคิล แจ็คสันเกี่ยวกับข้อกล่าวหาการล่วงละเมิดทางเพศเด็ก

  

ผู้กำกับบอกว่าเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของไมเคิล แจ็คสัน

แดน รีด ผู้กำกับตอบโต้เสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่า “เขาไม่ได้ใส่บุคลิกลักษณะบางอย่างให้กับแจ็คสัน เขาไม่แสดงความเห็นเกี่ยวกับแจ็คสัน ภาพยนตร์เรื่องนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับไมเคิล” ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นการเล่าถึงการล่วงละเมิดทางเพศ การล่วงละเมิดทางเพศเกิดขึ้นอย่างไร และมีผลกระทบต่อผู้ถูกกระทำอย่างไรเมื่อเวลาผ่านไป

รีดยังคิดว่าเหยื่อที่ถูกแจ็คสันล่วงละเมิดทางเพศน่าจะออกมาเปิดเผยความจริงกันมากขึ้น พร้อมกล่าวหาว่า แจ็คสันอาจล่วงละเมิดเด็กอีกจำนวนมาก เขาคิดว่าแจ็คสันใช้ชื่อเสียงเป็นเครื่องมือในการปกปิดความจริง เขามีอำนาจและความร่ำรวยมหาศาล เด็กๆ ชื่นชมเขา


ที่มา : The Independent, NME, ABC, Ladible