ไม่พบผลการค้นหา
สทนช. จับมือ สปป.ลาว เจรจาทวิภาคีเชื่อมโยงข้อมูลปริมาณฝน แผนการระบายน้ำ สถานีวัดน้ำท่าในแม่น้ำโขงฝั่งลาว พร้อมแผนบริหารจัดการน้ำเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรี เพื่อวิเคราะห์ คาดการณ์ แนวโน้มระดับน้ำโขงก่อนถึงฝั่งไทย ตั้งเป้าลดวิกฤติน้ำล้นตลิ่งในพื้นที่เสี่ยงน้ำท่วมริมโขง 8 จังหวัดอีสานของไทย ช่วงเดือน ก.ค. ถึง ก.ย.

นายสมเกียรติ ประจำวงษ์ เลขาธิการสำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) เปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 8 – 9 มิถุนายน ที่ผ่านมา เป็นหัวหน้าคณะผู้แทนไทยในฐานะเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติไทย หารือกับท่านแก้วมณี หลวงฤทธิ์ ผู้อำนวยการกองบริหารองค์กรและความร่วมมือ และคณะฯ ของสำนักเลขาธิการคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติลาว ในประเด็นการร่วมมือการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขง ณ เมืองหลวงพระบาง สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ซึ่งผลการหารือทั้งสองประเทศเห็นพ้องร่วมกันในการแลกเปลี่ยนข้อมูลการบริหารจัดการน้ำแม่น้ำโขง สถานีวัดน้ำฝน รวมถึงปริมาณน้ำที่มีการระบายจากเขื่อนของ สปป.ลาว ที่ไหลลงสู่แม่น้ำโขง ทั้งโครงการที่ก่อสร้างแล้วในปัจจุบันและที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ให้แก่ประเทศไทยโดยตรง นอกเหนือจากการประสานงานผ่านคณะกรรมการแม่น้ำโขง (MRC) เพื่อให้การใช้น้ำจากแม่น้ำระหว่างประเทศเกิดประสิทธิภาพและประสิทธิผล ซึ่งผู้แทน สปป.ลาวจะนำไปหารือในระดับนโยบายเพื่อให้เกิดความร่วมมือในการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านอุทกวิทยาระหว่างสองประเทศ ทั้งในระยะสั้นและระยะกลางให้เป็นรูปธรรมโดยเร็วต่อไป

ขณะเดียวกัน ฝ่ายไทยยังได้หยิบยกประเด็นหารือเชิงเทคนิคเกี่ยวกับเขื่อนไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีของ สปป.ลาว ซึ่งเป็นโครงการไฟฟ้าพลังน้ำ ประเภทเขื่อนทดน้ำเหมือนเขื่อนเจ้าพระยา  มีพื้นที่รับน้ำฝน 272,000 ตารางกิโลเมตร ปริมาณ/อัตราการไหลน้ำท่าเฉลี่ย 3,971 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ความยาวอาคารตั้งแต่ช่องทางการเดินเรือ อาคารระบายน้ำ ช่องระบายตะกอน โรงไฟฟ้าและอาคารประกอบ ยาวรวม 820 เมตร ปริมาณน้ำหลากที่ใช้ออกแบบ 47,500 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ปริมาณน้ำออกแบบเพื่อผลิตไฟฟ้าส่งออกขาย 4,900 ลูกบาศก์เมตร/วินาที ตั้งอยู่บนลำน้ำโขงสายหลัก ซึ่งขณะนี้การก่อสร้างดำเนินการใกล้แล้วเสร็จ และอยู่ในช่วงระหว่างเริ่มทดสอบระบบผลิตกระแสไฟฟ้า รวมทั้งมีการดำเนินงานเกี่ยวกับระบบติดตาม และคาดการณ์ปริมาณน้ำทั้งด้านเหนือเขื่อนและท้ายเขื่อนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ซึ่งไทยและ สปป.ลาว ได้กำหนดกรอบแนวทางความร่วมมือร่วมกันใน 4 ประเด็นหลัก ได้แก่  1) การบริหารจัดการน้ำและการใช้น้ำของเขื่อนไซยะบุรี 2) แนวทางการประสานงานและการทำงานร่วมกันเพื่อรองรับการดำเนินงานในช่วงฤดูฝน 3) แนวทางการแลกเปลี่ยนข้อมูลด้านอุทกวิทยา ระบบการพยากรณ์น้ำท่วมและการบริหารจัดการเขื่อน และ 4) แผนเตรียมการรับมือภาวะฉุกเฉินและความปลอดภัยเขื่อน เป็นต้น

นายสมเกียรติ กล่าวว่า สทนช.เป็นผู้รับผิดชอบภารกิจงานด้านน้ำระหว่างประเทศ ตามที่ได้รับหมายจากมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งรวมถึงภารกิจตามกรอบความร่วมมือของคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง การเดินทางมาหารือในระดับเทคนิคระหว่างไทย-สปป.ลาวครั้งนี้ จะทำให้การบริหารจัดการและการใช้น้ำจากแม่น้ำระหว่างประเทศในแม่น้ำโขงล่างตอนบนเกิดประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่งเมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา สทนช.ได้ลงนามในบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการแลกเปลี่ยนข้อมูลอุทกวิทยากรณีฤดูน้ำหลากสำหรับแม่น้ำโขง – ล้านช้าง โดยฝ่ายจีนจะให้ข้อมูลระดับน้ำและปริมาณฝนในช่วงฤดูน้ำหลาก ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค. – 31 ตุลาคมของทุกปี จากสถานีอุทกวิทยา 2 แห่ง คือ สถานีจิ่งหง ซึ่งเป็นสถานีวัดปริมาณน้ำที่ระบายจากเขื่อนตัวที่ 6 ที่จีนสร้างในลำน้ำโขง และสถานีหม่านอัน ซึ่งเป็นสถานีวัดน้ำในลำน้ำสาขาของจีน และในเร็วๆ นี้ สปป.ลาวจะมีการติดตั้งสถานีวัดน้ำสถานีเชียงกกซึ่งอยู่ในแม่น้ำโขงระหว่างพม่าและลาว บริเวณเหนือ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย ประมาณ 200 กม.

“ผลการหารือร่วมกับ สปป.ลาวครั้งนี้ จะทำให้เกิดความเชื่อมโยงในการบริหารจัดการแม่น้ำโขงตลอดสายในฤดูฝนนี้ ทั้งข้อมูลปริมาณน้ำฝน รวมถึงการระบายน้ำจากเขื่อนไซยะบุรีที่สะท้อนกับสภาพความเป็นจริงได้และเป็นข้อมูลปัจจุบัน (Real Time) ได้มากที่สุด เพื่อการวิเคราะห์ คาดการณ์สถานการณ์น้ำท่าที่จะไหลลงสู่แม่น้ำโขงที่อาจจะส่งผลกระทบต่อแม่น้ำโขงฝั่งไทยได้ โดยเฉพาะในพื้นที่ 8 จังหวัดเสี่ยงภาคอีสานที่ติดแม่น้ำโขง ที่ในแต่ละปีปริมาณน้ำโขงจะมีปริมาณน้ำสูงใน 2 ช่วง คือ ช่วงเดือนกรกฎาคม และกันยายน หาก สทนช.ได้รับข้อมูลสถานการณ์น้ำใน สปป.ลาว ล่วงหน้าก็สามารถคาดการณ์เพื่อป้องกันและบรรเทาผลกระทบที่จะเกิดจากน้ำล้นตลิ่งกับประชาชนในฝั่งไทยได้”นายสมเกียรติ กล่าว

ถกลาวจัดการน้ำโขง_๑๙๐๖๑๐_0002.jpg