โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ กล่าวว่า รัฐบาลกลางสหรัฐฯ จะไม่ขยายมาตรการในการปฏิบัติรักษาระยะห่างทางสังคมในช่วงไวรัสโคโรน่าอีก โดยแนวทางการปฏิบัติที่รัฐบาลสหรัฐฯ กำหนดไว้จะสิ้นสุดในวันที่ 30 เม.ย.นี้ แม้ว่าในปัจจุบันสหรัฐฯ มีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อโควิด-19 แล้วกว่า 61,656 ราย และมีผู้ติดเชื้อแล้ว 1,064,194 ราย
ที่ผ่านมาแนวทางปฏิบัติของรัฐบาลสหรัฐฯ ได้กำหนดไว้ที่ 15 วัน โดยเริ่มบังคับใช้มาตั้งแต่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา ก่อนที่จะขยายเวลาเป็น 30 วัน ซึ่งแนวทางการปฏิบัตินี้ได้ขอความร่วมมือให้ประชาชนทำงานจากที่บ้านและหลีกเลี่ยงการรับประทานในร้านอาหาร รวมไปถึงแนะนำไม่ให้ชาวอเมริกันที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการติดเชื้อเดินทางไปยังที่ต่างๆ โดยไม่จำเป็น
ขณะที่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหลายรัฐในสหรัฐฯ ได้ประกาศอนุญาตให้ธุรกิจต่างๆกลับมาดำเนินการได้อีกครั้ง เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจภายในรัฐฯ และวานนี้รัฐบาลสหรัฐฯ ประกาศตัวเลขทางเศรษฐกิจในไตรมาสแรกของปีพบว่า GDP ของสหรัฐฯหดตัวลงเหลือ 4.8 เปอร์เซ็นต์ และคาดว่าภายในช่วงฤดูร้อนของปีนี้ GDPของสหรัฐฯ หดตัวเพิ่มขึ้นอีก และจะเข้าสู่ภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ เนื่องจากโรคระบาดที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯ และทั่วโลก
อังกฤษยอดผู้เสียชีวิตมากสุดเป็นอันดับ 2 ยุโรป
วานนี้ (29 เม.ย.) ยอดผู้เสียชีวิตในอังกฤษยังคงเพิ่มขึ้นเกือบถึง 800 ราย ทำให้อังกฤษมีจำนวนผู้เสียชีวิตแล้ว 26,097 ราย ซึ่งมากกว่าสเปนที่มีผู้ติดเชื้อมากที่สุดในยุโรปและเป็นรองแค่อิตาลีที่มีผู้เสียชีวิตมากที่สุดในยุโรปในขณะนี้ โดยวานนี้ สเปนมีผู้เสียชีวิตจากการติดเชื้อแล้ว 24,275 ขณะที่อิตาลีมีผู้เสียชีวิต 27,682 ราย
ดอมิคนิก แรบบ์ รัฐมนตรีต่างประเทศของอังกฤษกล่าวว่า "อังกฤษยังคงอยู่ในช่วงของการระบาดสูงสุด และนี่ถือเป็นช่วงที่เปราะบางและวิกฤตที่สุดของอังกฤษ"
ด้านฝ่ายค้านของอังกฤษวิจารณ์ว่า จำนวนผู้เสียชีวิตจากการแพร่ระบาดในอังกฤษกำลังจะมากที่สุดในยุโรป ซึ่งเกิดจากการประกาศล็อกดาวน์ที่ช้าเกินไปของนายบอริส จอห์นสัน รวมไปถึงการตรวจค้นหาผู้ติดเชื้อก็ทำได้ล่าช้าและยังขาดแคลนอุปกรณ์ป้องกันเชื้อโรคสำหรับบุคลากรทางการแพทย์ในโรงพยาบาลอีกด้วย
ที่มา CNA / the guardian / worldometers