ไม่พบผลการค้นหา
‘พิสิฐ’ กระตุก ‘รมว.พลังงาน’ อย่าลดราคาพลังงานฉาบฉวย ควรทบทวนโครงสร้างราคาน้ำมันให้เหมาะสม คนไทยใช้พลังงานราคาถูกลงทันที แนะยกเลิกนำเข้าน้ำมันโรงกลั่นสิงคโปร์ ราคาลง 1.20 บาททันที ทำประมูลแก๊สธรรมชาติโปร่งใส อาจลดค่าไฟฟ้าลงอีกไม่ต่ำ 1.0 บาทต่อหน่วย

วันที่ 18 ต.ค. ที่อาคารรัฐสภา พิสิฐ ลี้อาธรรม อดีต สส. และประธานนโยบายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานเตรียมแก้ไขกฎเกณฑ์ด้านพลังงานต่างๆ โดยขอให้กฎเกณฑ์ใหม่ที่รัฐบาลจะกำหนดนี้ไม่ไปกระทบฐานะการคลังรัฐบาลหรือสร้างหนี้สาธารณะ แต่ให้มุ่งแก้ไขกฎเกณฑ์ที่เอื้อประโยชน์ผู้ผลิตพลังงานอย่างไม่เป็นธรรมที่ทำให้ประชาชนต้องจ่ายค่าน้ำมันและค่าไฟฟ้าแพง

 พิสิฐ กล่าวว่า ปัจจุบันประเทศไทยใช้พลังงานสูงมากเทียบเท่าน้ำมันดิบเกือบ 2 ล้านบาเรลต่อวัน โดยที่ราคาพลังงานเป็น ค่าใช้จ่ายสำคัญที่กระทบค่าครองชีพของประชาชน เป็นความเดือดร้อนอย่างทั่วหน้า โดยเฉพาะช่วงหลังเลือกตั้งมีการปรับราคาน้ำมันบ่อยครั้ง เดือนแรกของรัฐบาลชุดปัจจุบันได้ประกาศเป็นนโยบายเร่งด่วน ลดราคาน้ำมันดีเซลลง 2.50 บาทต่อลิตร เพื่อให้ราคาขายไม่เกิน 30 บาท และยังมีความพยายามจะประกาศลดราคาน้ำมันเบนซินยังไม่เกิดขึ้น ทั้งนี้การลดราคาน้ำมันที่ผ่านมาเป็นการปรับลดภาษีสรรพาสามิตน้ำมัน ซึ่งจะเป็นภาระทางการคลัง ทำให้รัฐบาลต้องมีการขาดดุลเงินสดมากขึ้น ไม่ได้มีการปรับหรือทบทวนโครงสร้างราคาน้ำมันให้เหมาะสมเป็นธรรมแต่ประการใด 

สำหรับในส่วนค่าไฟฟ้าได้ปรับลดลงสองครั้ง รวม 46 สตางค์ จากหน่วยละ 4.45 บาท เหลือ 3.99 บาท โดยราคาที่ลดลงไม่ได้เกิดจากการปรับโครงสร้างเช่นกัน แต่เกิดจากการยืดหนี้ที่ต้องจ่ายให้แก่การไฟฟ้าฝ่ายผลิตออกไป แม้ว่าพรรคประชาธิปัตย์จะเห็นด้วยกับการลดค่าใช้จ่ายด้านพลังงาน แต่มาตรการลดค่าพลังงานของรัฐบาลในเดือนที่ผ่านมาเป็นการแก้ปัญหาที่ฉาบฉวย เป็นการเบียดบังทางการคลังมากกว่าการปรับลดผลประโยชน์ของกลุ่มทุนพลังงาน 

ทั้งสองมาตรการที่ประกาศไปนั้นจึงเป็นอันตรายต่อความมั่นคงของฐานะการคลังและสร้างหนี้สาธารณะ เป็นการผลักภาระให้ประชาชนในอนาคต พรรคประชาธิปัตย์ ขอเสนอการปรับกฎเกณฑ์นโยบายราคาพลังงาน ที่ไม่กระทบฐานะการคลังซึ่งจะไม่ทำให้คน รุ่นหลังต้องรับภาระแทน โดยจะทำให้ราคาน้ำมันสำเร็จรูปทุกชนิด ลดลงได้ทันทีอย่างน้อย 1.20 บาทต่อลิตร และลดค่า ไฟฟ้าลงได้ 60 สตางค์ต่อหน่วย ดังนี้

ด้านแรก ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ขอให้ยกเลิกแนวคิด import parity ที่ผูกสูตรคำนวณราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่น ที่ใช้มาประมาณ 50 ปีโดยมีหลักคิดจากสภาพในอดีตที่ไทยมีโรงกลั่นเพียงแห่งเดียวและต้องพึงพาสิงคโปร์ในการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูป จึงมีการคำนวณราคาน้ำมันที่อิงกับตลาดสิงคโปร์และบวกด้วยค่าขนส่ง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ เพื่อกำหนดราคาในประเทศ รัฐบาลโดยคณะกรรมการการบริหารนโยบายพลังาน (กบง.)จะประกาศกำหนดปัจจัยและราคาน้ำมันหน้าโรงกลั่น ซึ้งเอื้อประโยชน์ให้ผู้ผลิตน้ำมัน ทั้งนี้เหตุผลที่ต้องยกเลิก เนื่องจากในปัจจุบัน ประเทศไทยมีการผลิตน้ำมันสำเร็จรูปจนมีเหลือใช้ภายในประเทศต้องส่งออก ไม่จำเป็นต้องมีการนำเข้าน้ำมันสำเร็จรูปมาเป็นเวลานาน ปัจจุบันโรงกลั่นของไทยมีถึง 6 โรงและผลิตได้วันละ 1.25 ล้านบาเรล โรงกลั่นแห่งหนึ่งก็มีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตอีกวันละ 2.5 แสนบาเรล 

การผลิตน้ำมัน ในประเทศไทยจะมีกำลังไม่น้อยไปกว่าสิงคโปร์ จึงไม่มีความจำเป็นที่ต้องซื้อน้ำมันสำเร็จรูปจากต่างประเทศแต่อย่างใด ขณะที่สูตรดังกล่าวใช้ราคากลางน้ำมันสำเร็จรูปเฉลี่ยของสิงคโปร์ (MOPS= Mean oil prices by Platts in Singapore) บวกด้วย ปัจจัยต่างๆ ที่สามารถยกเลิกจากการคำนวณ ตามรายละเอียดดังนี้

1. ค่าปรับคุณภาพน้ำมัน ที่ทำให้ต้นทุนเพิ่มอีก 0.46 บาทต่อลิตรสำหรับเบนซิน และเบนซินโซฮอล์เพิ่มขึ้นอีก 0.14 -0.35 บาทต่อลิตร ส่วนดีเซลไม่มีค่าปรับคุณภาพ ปัจจุบันน้ำมันสำเร็จรูปที่ผลิตจากโรงกลั่นในไทยได้มาตรฐาน EURO-5อยู่แล้ว จึงไม่ควรต้องให้ค่าปรับคุณภาพน้ำมันแต่ประการใด

2. ค่าขนส่งน้ำมันจากท่าเรือสิงคโปร์ ถึงท่าเรือแหลมฉบัง เฉลี่ย 0.45 บาทต่อลิตร ซึ่งในรอบสิบปีที่ผ่านมาไทยไม่มีการขนน้ำมันสำเร็จรูปจากสิงคโปร์มาขายในประเทศไทยแต่อย่างใด

3. ค่าขนส่งทางท่อน้ำมัน (ศรีราชา มากรุงเทพ) อีก 0.15 บาทต่อลิตร ทั้งๆ ที่การขนส่งน้ำมันในประเทศปัจจุบัน ใช้เรือ รถไฟ และรถบรรทุกน้ำมัน เป็นหลัก แม้ว่าจะมีการยกเลิกรายการนี้แต่ก็กลับไปบวกในค่าการตลาดที่เพิ่มขึ้นเป็น ไม่เกิน 2 บาทต่อลิตร

4. ค่าสำรองน้ำมันเพื่อความมั่นคง บวกไปอีก 0.15 บาทต่อลิตร ในทางปฏิบัติสามารถยกเลิกได้ เพราะประเทศไทยมีการผลิตน้ำมันเกินความต้องการอยู่แล้ว หากมีเหตฉุกเฉินสามารถออกมาตรการระงับการส่งน้ำมันไปต่างประเทศได้อยู่แล้ว

5. ค่าประกันภัย ควรอยู่ในค่าใช้จ่ายของผู้ค้าอยู่แล้ว

6. ค่าสูญเสียจากการปรับอุณหภูมิในการขนส่งจากสิงคโปร์ เพราะไม่มีการขนส่งเกิดขึ้น 

โดยรวมแล้ว หากยกเลิกปัจจัยทั้ง 6 ในการคำนวณราคาน้ำมันสำเร็จรูปหน้าโรงกลั่น จะทำให้ประชาชนใช้น้ำมันราคาถูกลง 1.20 บาทต่อลิตรทันที ทั้งนี้ราคาที่ลดลง 1.20 บาท ยังไม่รวมการทบทวนค่าการตลาด ที่กำหนดไว้ไม่เกิน 2.0 บาทต่อลิตร ซึ่งจากข้อเท็จจริงพบว่าค่าการตลาดในรอบปี 2565 ถึงปัจจุบันยังสูงกว่าที่รัฐบาลกำหนด หากมีการควบคุมราคาการตลาดอย่างจริงจังให้ไม่เกิน 2 บาทต่อลิตรได้แล้ว จะลดราคาน้ำมันโดยเฉพาะเบนซินลงได้อีก ไม่ต่ำ 2 บาทโดยไม่จำเป็นต้องไปกระทบฐานะ การคลังหรือสร้างหนี้ในกองทุนน้ำมัน ซึ่งปัจจุบันยังมีหนี้สินสุทธิ กว่า 68,327 ล้านบาท (8 ต.ค. 2566)

นอกจากนี้ เพื่อให้โครงสร้างราคาน้ำมันมีความเป็นธรรมต่อผู้บริโภค พรรคประชาธิปัตย์ขอเสนอให้รัฐบาลสนับสนุนการแข่งขันเสรีอย่างแท้จริงในตลาดน้ำมันสำเร็จรูป เนื่องจากจะมีน้ำมันสำเร็จรูปล้นตลาดในประเทศ รัฐบาลจะต้องไม่ยอมให้มีการผูกขาดหรือฮั้วราคาขายปลีก แต่ยังดูแลให้ราคาไม่เอาเปรียบผู้บริโภคจนเกินไปโดยมีราคากลางน้ำมันสำเร็จรูป (MOPS) ที่ตลาดสิงคโปร์ เป็นตัวเทียบเคียงแต่ไม่ใช้เป็นมาบวกค่าใช้จ่ายข้างต้นเพื่อกำหนดราคา ณ โรงกลั่นอย่างที่ทำใน ปัจจุบัน

ในระยะยาว พรรคประชาธิปัตย์ขอเสนอให้มีการทบทวนหลักเกณฑ์ เช่น 

1) โครงสร้างภาษีสรรพาสามิต ที่ควรปรับมา ใช้หลักการเก็บตามแนวทาง Carbon offset เพื่อให้สอดรับคล้องกับกระแสการดูแลโลกร้อน รวมทั้งภาระการใช้น้ำมันเบนซินของจักรยานยนต์เกือบ 23 ล้านคันที่เป็นของผู้มีรายได้น้อย 

2) การทบทวนโครงสร้างกองทุนเงินชดเชยน้ำมัน ที่เจตนารมณ์ของการจัดตั้งเพื่อรักษาเสถียรภาพราคาน้ำมันแต่ละชนิด ไม่ใช่เพื่อการอุดหนุนน้ำมันดีเซลและก๊าชหุ้งต้มหรือการ cross subsidy 

3) ละเว้นการก่อหนี้ในกองทุนน้ำมัน 

4) การทบทวนการใช้เอทานอลและน้ำมันปาล์ม มาผสมกับน้ำมัน จะลดต้นทุนน้ำมันลงไปได้อีกและลดความเสี่ยงด้านแหล่งอาหารของประเทศลง 

5) การลดประเภท/ชนิดของน้ำมันลงเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการจัดการและลดต้นทุนค่าใช้จ่าย 

และ 6) ควบคุมไม่ให้มีการครอบงำตลาดจนไม่เกิดการแข่งขัน จากการลดจำนวนผู้ประกอบการในตลาดน้ำมัน เพราะถูก take over ที่ลดจำนวนผู้ผลิตและผู้ประกอบการ

ด้านที่สอง การปรับโครงสร้างค่าไฟฟ้า พรรคประชาธิปัตย์เห็นว่า การลดอุปทานของไฟฟ้าในระบบ ที่ปัจจุบันมีสัญญาผูกมัดกับภาคเอกชนคงเป็นไปได้ยาก แต่ขอย้ำให้รัฐมีความโปร่งใส่การประมูล เพราะที่ผ่านมามีกลุ่มทุนที่มักชนะการประมูลไปได้ทุกครั้ง แต่สิ่งที่ทำได้และทำได้ทันทีและมีผลทำให้ค่าไฟฟ้าถูกลง อย่างยั่งยืนคือทบทวนโครงสร้างต้นทุนของการนำแก๊สธรรมชาติมาผลิตไฟฟ้า ที่มีสัดส่วนถึง 60% ของต้นทุนทั้งหมด โดยที่แหล่งที่มามาจากแก๊สในอ่าวไทยสัดส่วนถึง 66% จากแหล่งแก๊สในประเทศเมียนม่า 16% และจากการนำเข้า LNG จากต่างประเทศ 18% ทั้งนี้ในส่วนของแก๊สในอ่าวไทยเนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่าแห่งอื่นๆ รัฐจะต้องกันให้เป็นแหล่งพลังงานเพื่อให้คนไทยได้ใช้ไฟฟ้าในราคาที่ถูกลง แต่กลับเป็นว่า ที่ผ่านมารัฐได้ใช้ราคาตลาดโลกมาคำนวณราคาแก๊สผลิตไฟฟ้าแบบเฉลี่ยเหมารวม 

แก๊สจากแหล่งในอ่าวไทย ที่ผ่านโรงงานแยกแก๊สส่วนหนึ่งเป็นแก๊สหนักที่ใช้ในอุตสาหกรรมปิโตเคมี รัฐได้ขายให้แก่กลุ่มทุนระบบปิโตเคมีในราคาที่ถูกมาก ทำให้แก๊สจากแหล่งในอ่าวไทยที่เป็นสมบัติของชาติที่คนไทยทุกคนควรได้ประโยชน์เสมอภาคกัน ไม่ได้เป็นตัวช่วยให้ราคาค่าไฟฟ้าถูกลง ดังนั้น หากมีการปรับโครงสร้างการคำนวณราคาขายแก๊ส โดยให้แก๊สจากอ่าวไทยถือเป็นเชื้อเพลิงในส่วนของ Methane กันให้เพื่อการผลิตไฟฟ้าและส่วนที่ป้อนปิโตรเคมีให้คิดคำนวณราคา Methane จากแหล่งที่ไม่ใข่อ่าวไทยแล้ว จะทำให้ราคาค่าไฟฟ้าลดลงอีกไม่ต่ำกว่า 1.0 บาทต่อหน่วย

นอกจากการปรับสูตรคิดค่าแก็สข้างต้น พรรคขอให้รัฐบาลต้องเดินหน้าอย่างจริงจังอีก 2 ประการคือ

1) การใช้ Solar roof และ ระบบ Net metering อย่างแท้จริง ประเทศไทยมีพลังงานแสงแดดมหาศาลที่ไม่ได้มีการนำมาใช้ ปัจจุบันแผงโซล่าเซลที่ผลิตไฟฟ้าจากแสงอาทิตย์ก็มีราคาต่ำกว่าเมื่อก่อนมาก ทำให้ต้นทุนค่าไฟฟ้าเหลือไม่ถึง 2.0 บาทต่อหน่วย พลังไฟฟ้าแสงอาทิตย์จึงเป็นแหล่งกำเนิดไฟฟ้าที่มีต้นทุนต่ำที่สุด รัฐจึงควรสนับสนุนให้ประชาชนติดตั้งแผงโซล่าและรับซื้อเข้าgridในราคาที่เป็นธรรม โดยไม่ลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานฟอสซิลอีกต่อไป และไม่ทำสัญญาซื้อไฟฟ้าจาก เอกชนรายใหญ่(IPP/SPP)อย่างที่เคย จนกว่าจะพิสูจน์ได้ว่า ประชาชนติดตั้งไม่เพียงพอต่อการสนับสนุนนโยบาย Net Zero

2). การยกเลิกการใช้ข้อมูลการพยากรณ์ล่วงหน้า เพื่อกำหนดค่า FT มาเป็นการใช้ตัวเลขจริงในอดีตในการกำหนดค่า FT เพราะจากการศึกษาพบว่าตัวเลขการคาดการณ์ดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนสูงกว่าตัวจริงมาก ทำให้ค่า FT แต่ละงวดสูง ส่งผลให้ราคาค่าไฟฟ้าสูงกว่าความเป็นจริง เป็นการเอาเปรียบผู้บริโภค

พิสิฐ กล่าวทิ้งท้ายว่า พรรคประชาธิปัตย์มั่นใจว่าข้อเสนอทั้งสองด้าน คือการยกเลิกแนวคิด import parity ด้วยการใช้สูตร MOPS บวกบวก และการปรับเปลี่ยนให้แก็สจากอ่าวไทยให้มาใช้กับโรงไฟฟ้าเท่านั้น สามารถทำได้ทันทีซึ่งจะเป็นเหตุให้รายจ่ายพลังงานของประชาชนลดลงได้อย่างชัดเจน เป็นการลดภาระค่าครองชีพที่ประชาชนกำลังมีความเดือดร้อน โดยไม่กระทบฐานะการคลังหรือสร้างหนี้ในกองทุนน้ำมันหรือหนี้สาธารณะ