ธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดี ม.หอการค้าไทย และประธานที่ปรึกษาศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ม.หอการค้าไทย เปิดเผยว่า จากผลการสำรวจธุรกิจทั่วประเทศหลังเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่เดือนเม.ย. จะสร้างความเสียหายต่อระบบเศรษฐกิจราว 2-3 แสนล้านบาท มีโอกาสที่จะทำให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ หรือ จีดีพีลดลงไปอีก 1.2.-1.8%
โดยในแง่ของการจับจ่ายใช้สอยจะลดลงในกรอบ 10-20% ต่อวัน จากปกติที่มีการใช้จ่ายต่อวันที่อยู่ 20,000 ล้านบาท หรือลดลงเฉลี่ยวันละ 3,300 ล้านบาท หรือหายไปจากระบบเดือนละ 1 แสนล้านบาท นอกจากนี้อาจจะทำอัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นอีกราว 1-2 แสนคน
ทั้งนี้ประเมินว่าหากสถานการณ์ยังคงยืดเยื้อและรัฐบาลไม่สามารถควบคุมการแพร่ระบาดระลอกนี้ได้ โอกาสที่เม็ดเงินจะหายไปจากระบบเศรษฐกิจจะสูงถึง 6 แสนล้านบาท ซึ่งจะส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจของไทยติดลบได้ ภายใต้สถานการณ์เกิดการระบาดรอบ 4 การเฝ้าระวังไม่รัดกุมเพียงพอ หรือสถานการณ์ยืดเยื้อและบานปลายผู้ติดเชื้อเพิ่มขึ้น หรือจำนวนผู้ติดเชื้อคงเส้นคงวาและทอดระยะเวลานาน
อย่างไรก็ตาม ม.หอการค้าไทย ยังคงประเมินว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 ยังมีโอกาสเติบโตได้ที่ 2.5-3% แต่รัฐบาลจำเป็นที่จะต้องใช้มาตรการสำคัญคือ 1.ควบคุมการแพร่ระบาดของเชื้อให้ได้เพื่อให้ธุรกิจเดินหน้าได้ 2.เร่งฉีดวัคซีน ให้เอกชนร่วมจัดหาร ควรให้ประชาชนได้ฉีดถึง 50% ภายในไตรมาสที่ 2-3 เพราะจะช่วยผลักดันความเชื่อมั่นของประชาชนให้เริ่มการใช้จ่าย รวมถึงการลงทุน
3.การกระตุ้นเศรษฐกิจควรเร่งดำเนินการในช่วงปลายเดือนพ.ค. หรือควรมีเม็ดเงินเติมลงไปในระบบ 2-3 แสนล้านบาท จะช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นได้ เช่น มาตรการคนละครึ่งเฟส 3 4.ผลักดันและส่งเสริมให้เกิดการท่องเที่ยวภายในประเทศ รวมถึงการผลักดันให้เกิดการท่องเที่ยวระหว่างประเทศภายในไตรมาสที่ 3
5.เร่งใช้งบประมาณขององค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น และ 6.ดูแลค่าเงินบาทหรือให้ทรงตัวอยู่ในระดับ 30-31 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐเพื่อสนับสนุนส่งออก ซึ่งหากรัฐบาลยั่งนิ่งเศรษฐกิจจะย่อลงเหลือ 1.2-1.6%