ผ่านสื่อโซเชียลมีเดีย แฟนเพจเฟซบุ๊ก วันนี้ (13 ตุลาคม 2568) โดยระบุว่า
THACCA เนื่องในโอกาสที่มีการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งอาจจะส่งผลให้มีการเปลี่ยนแปลงนโยบาย หรืออาจจะยกเลิกหน่วยงาน THACCA จึงอยากขอเขียนถึง THACCA ในฐานะที่ผมเป็น 1 ในคนที่ได้เข้าร่วมเป็นอนุกรรมการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ภาพยนตร์ ละคร ซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชัน ที่ได้ร่วมทำงานมาตลอด 2 ปีที่ผ่านมา
ขอปูพื้นนิดเดียวครับ
– THACCA ย่อมาจาก Thailand Creative Culture Agency แปลเป็นไทยว่า “สำนักงานส่งเสริมวัฒนธรรมสร้างสรรค์” คล้ายกับหน่วยงานที่ทำหน้าที่ใกล้เคียงกันในเกาหลีคือ KOCCA และ TAICCA ของไต้หวัน ต่างกันตรงที่ตัว C ของ KOCCA และ TAICCA นั้นย่อมาจาก Content แต่ C ของเรา ย่อมาจาก Culture ที่กว้างและครอบคลุมอุตสาหกรรมสร้างสรรค์หลายสาขามากกว่า ในส่วนของรายละเอียดข้อมูลต่าง ๆ ของ THACCA ขออนุญาตไม่ลงรายละเอียด เพราะมีการชี้แจงไว้หลายที่แล้ว
ซึ่งสามารถตามอ่านข้อสงสัยคร่าว ๆ ที่ทาง Admin THACCA ได้ตอบไว้แล้วที่ https://thacca.go.th/article/2025-09-16-07-03-45/
แต่ครั้งนี้จะขอเล่าในมุมของคนที่ถูกเชิญเข้าไปทำงานในคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนภาพยนตร์ ละครซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชัน เท่านั้น และต่อไปนี้จะขอเรียกรวมสั้น ๆ ว่า “อนุภาพยนตร์ฯ” และไม่ขอก้าวล่วงไปพูดถึงการทำงานของ 13–14 อุตสาหกรรม อื่น เพราะไม่มีความรู้ที่แน่ชัดว่าอนุกรรมการของอุตสาหกรรมอื่นเขาทำงานกันอย่างไร ทำอะไรกันบ้าง และขอเน้นว่าทั้งหมดเป็นมุมมองส่วนตัวของผมเท่านั้นครับ
1. ส่วนตัวไม่ได้มีความนิยมชมชอบพรรคการเมืองใดเป็นพิเศษ ที่รับเข้าร่วมทำงานเพราะเห็นว่าไม่ใช่เรื่องง่ายนักที่จะมีการประกาศจากรัฐบาลว่าจะส่งเสริมอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฯ แบบ “เอกชนนำ รัฐบาลและราชการสนับสนุน” ซึ่งที่ผ่านมาแม้จะมีโครงการลักษณะนี้มาจากรัฐบาล แต่จะเป็นการกำหนดนโยบายจากข้างบนลงมา และเป็นอย่างที่ไม่เข้าใจอุตสาหกรรม และจบด้วยการอันตรธานหายไปกับรัฐบาลนั้นๆ เหมือนไม่มีอะไรเคยเกิดขึ้น สร้างความท้อแท้ให้คนในอุตสาหกรรมถอนหายใจเสมอมา
2. คุณชายอดัมเป็นประธานอนุกรรมการฝั่งนี้ และมีอนุภาพยนตร์ฯ ในคณะนี้เกือบ 40 คน ซึ่งประกอบไปด้วยคนทำงานทุกระดับที่เกี่ยวข้อง ตั้งแต่ผู้ลงทุน โรงภาพยนตร์ ช่องทีวี แพลตฟอร์ม OTT หอภาพยนตร์ ผู้บริหารบริษัทผู้ผลิต โปรดิวเซอร์ ผู้กำกับ คนเขียนบท ช่างภาพ ทีมโปรดักชัน ทีมโพสต์โปรดักชัน นักวิชาการ ฯลฯ ทั้งกิจการในและต่างประเทศ ตั้งแต่รุ่นใหม่ รุ่นกลาง ไปถึงรุ่นใหญ่ เพื่อให้ได้มุมมองและความรู้ในปัญหาที่ครอบคลุมทุกมิติที่สุด ยังไม่นับที่ปรึกษาอีกหลายสิบคนที่สบายใจจะขอช่วยอยู่ข้างหลัง (อนุ ฝั่งอื่นมีคนน้อยกว่านี้ ที่ฝั่งนี้เยอะเพราะครอบคลุมไปทั้งภาพยนตร์ ละครซีรีส์ สารคดี และแอนิเมชัน )
3. วันแรกที่คณะอนุฯ ประชุมร่วมกับคุณหมอสุรพงษ์ หรือคุณหมอเลี้ยบ ผมรู้สึกได้ว่าทุกคนมาด้วยท่าทีหยั่งเชิง อยากมาฟังว่ารัฐบาลต้องการอะไร มีคำถามถึงคุณหมอว่า Soft power ของคุณหมอคืออะไร ผมจำไม่ได้ชัดว่าคุณหมอตอบว่าอะไร แต่พอสรุปได้ประมาณว่า เราไม่ต้องสนใจนิยามของมันมากนัก เพราะเถียงนิยามกันยังไงก็น่าจะไม่จบ ขอให้พวกคุณโฟกัสในการทำให้อุตสาหกรรมของพวกคุณแข็งแรงก่อน แล้วคุณจะช่วยคนอื่นได้เยอะ เปรียบเทียบอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฯ เป็นรถยนต์ ขอให้รถคันนี้แข็งแรง ขายได้ด้วยตัวเอง และเมื่อแข็งแรงมาก ก็จะสามารถบรรทุกศิลปะ อาหาร แฟชั่น มวยไทย นวด และอะไรอื่น ๆ วิ่งไปสู่ตลาดโลกได้ และคนที่รู้ปัญหาของอุตสาหกรรมดีที่สุด คือพวกคุณเอง ชี้ปัญหาไม่ใช่เรื่องยาก แต่ “ใครจะเป็นคนแก้ปัญหาพวกนั้น” พวกเราถาม “ก็พวกคุณนั่นแหละ ที่รู้ดีที่สุดว่าจะแก้อย่างไร” คุณหมอตอบประมาณนี้ “พวกคุณไม่ใช่แค่กำหนดนโยบาย แต่ต้องดำเนินนโยบายด้วย ผลักดันด้วย และรัฐจะสนับสนุนทุกทางเท่าที่ทำได้ ถ้าต้องใช้งบ รัฐจะหางบมาให้ ต้องการแก้กฎระเบียบ รัฐจะหาช่องทางให้ ต้องการความร่วมมือ รัฐจะประสานให้ แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่สามารถมีให้ได้ คือ งบสำหรับการทำงานของคณะอนุฯ นี้” ใช่ครับ คณะอนุกรรมการทุกคนต้องมาทำงานแบบอาสาสมัคร แล้วคุณหมอก็ออกจากการประชุมออนไลน์ในวันนั้น เข้าใจว่าคงต้องไปประชุมกับอีกหลายคณะที่เหลือต่อ ปล่อยให้พวกเรามึน ๆ งง ๆ กันเอง ว่าจะยังไงต่อกันดี
4. แม้จะงง แต่พวกเรารู้ดีว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะรวมคนระดับนี้ของวงการมาครบขนาดนี้ ถึงแม้จะอยู่ในอุตสาหกรรมเดียวกัน แต่เกินครึ่งไม่เคยได้ทำงานหรือได้คุยกัน เราจึงรีบประชุมต่อทันที สิ่งแรกที่เราทำ คือผลัดกัน “โยนปัญหา” ที่เหนี่ยวรั้งอุตสาหกรรมของพวกเราลงมาตรงกลางเพื่อรวมปัญหาไว้ก่อน ได้กว่าร้อยปัญหา ยังไม่ทันได้ถกเถียงหรือหาทางแก้อะไร ก็ใช้เวลาไป 3–4 ชั่วโมงสำหรับประชุมแรก เราจึงแยกย้ายกันไปตั้งหลักและฝากการบ้านถึงแนวทางแก้ปัญหาต่าง ๆ ซึ่งแน่นอนว่า ใครที่โยนปัญหาลงมาก็ต้องเป็นคนกลับมาเสนอว่าจะ “แก้อย่างไร” ในครั้งต่อไป เราก็พูดไปซะเยอะเสียด้วย
5. หลังจากนั้น การประชุมก็เริ่มทยอยต่อเนื่องมาไม่ขาดสาย เดือนละหลายครั้ง แต่ละครั้งก็กินเวลามากเพราะเนื้อหาเยอะ ทำสถิตินิวไฮของเวลาประชุมเสมอ จาก 6 ชั่วโมง เป็น 8 ชั่วโมง ไปจนถึง 12 ชั่วโมง จนมีอนุฯ หลายท่านต้องขอถอนตัวไป เพราะภารกิจส่วนตัวของบริษัทแต่ละคนก็ไม่ใช่น้อย เลยต้องขอช่วยเบื้องหลังเป็นครั้งคราว และส่วนหนึ่งที่ไม่ง่าย คือการทำงานกับหน่วยงานราชการ
6. แท้จริงแล้ว เรื่องของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ฯ นี้ ในประเทศเรามีหน่วยงานที่รับผิดชอบทั้งการสนับสนุนและส่งเสริมอยู่แล้ว นั่นคือหน่วยงานราชการตามกระทรวง ตามกรม หรือองค์กร องค์การต่าง ๆ ซึ่งถ้าพูดให้ชัดก็มีความต่างคนต่างทำ ทำต่างกันบ้าง ซ้ำซ้อนซะส่วนใหญ่ ซึ่งก็ได้ฝั่งคุณหมอที่ช่วยนั่งหัวโต๊ะชวนให้ทุกหน่วยมาทำงานด้วยกัน โดยมีอนุพวกเราเป็นแกนนำนโยบาย ต้องเล่าตามตรงว่า ในแรกเริ่ม การทำงานกับหน่วยงานราชการไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับคนจากภาคเอกชน นอกจากต้องหัดพูด กราบเรียน นำเรียนในที่ประชุมแล้ว ปัญหาอีกอย่างคือ ชื่อของหน่วยงานราชการมักยาว พอยาวก็ย่อ พอย่อก็ไม่รู้เรื่อง แล้วหน่วยไหนใหญ่กว่าหน่วยไหนตำแหน่งของใครใหญ่กว่าใคร ต้องนั่งไล่ Org chart กันอุตลุด แล้วพอจะกำหนดนโยบายหรือผลักดันอะไร 90% คือผิด ไม่ผิดระเบียบ ก็ผิดขั้นตอน ไปจนถึงผิดกฎหมาย ใช้พละกำลังมากมาย และเวลาเกือบปี ที่ต่างฝ่ายจะเข้าใจและหาทางทำงานร่วมกันได้ ตรงนี้ทำให้พวกเราเข้าใจฝั่งราชการมากขึ้นว่า มันไม่ได้ง่ายเหมือนบริษัทเอกชน ที่จะทำอะไรก็ทำได้เลย อุปสรรคส่วนใหญ่เป็นเรื่องของระเบียบราชการ ข้อบังคับต่าง ๆ ที่ไม่ทันกับยุคสมัย ไม่ใช่เขาไม่รู้ ไม่ใช่คิดไม่ได้ แต่มันทำไม่ได้ เพราะมันผิดกฎ และความผิดนี้อาจถึงขั้นมีคนติดคุกติดตะราง เมื่อมีโอกาสตรงนี้ต้องขอขอบคุณและชื่นชมหน่วยงานราชการทุกส่วนที่เกี่ยวข้องอย่างจริงใจ สำหรับการสนับสนุนอย่างไม่ย่อท้อ และช่วยหาทางออกแก้ปัญหาอย่างเต็มที่ ทำงานกันตลอดเวลา คำว่า กรุณาติดต่อในเวลาราชการ ถูกโยนทิ้งไป หน่วยงานราชการบ่อยครั้งถูกดูแคลนจากภาคเอกชนในเรื่องต่าง ๆ แต่ครั้งนี้ทำให้พบว่า ข้าราชการที่ทำงานด้วยความบริสุทธิ์ใจ ทุ่มสุดความสามารถเพื่อหน้าที่ของตัวเอง เพื่อประชาชนนั้นมีอยู่จริง ไม่ว่าจะ ก.วัฒนธรรม ก.พาณิชย์ ก.การท่องเที่ยว สำนักงบประมาณ ปยป. และหน่วยงานชื่อย่ออีกมากที่ต้องขออภัยที่จำได้ไม่หมด
7. “8 โครงการใหญ่” และโครงการย่อยอีกนับร้อยที่พวกเราทำขึ้นมาในปีแรก ทำไมต้องเยอะ? เพราะเราไม่ได้เชื่อว่าให้เงินทำหนัง 1 เรื่องอย่างเต็มที่ แล้วดังทะลุโลก จะทำให้อุตสาหกรรมนี้แข็งแรงขึ้นได้แบบยั่งยืนปัจจุบัน มีหนังไทยสร้างประมาณ50 เรื่องต่อปี ขาดทุนซะ 80% เสมอตัว 10% กำไรนิดหน่อย 7% ข้าม 100ล้านได้สัก 3 % ถ้าภาพรวมนี้ดีขึ้น ทั้งเรื่องรายได้และคุณภาพ โดยที่ไม่ต้องมีหนังได้ออสการ์หรือทำเงินระดับฮอลลีวูดสักเรื่องเลยก็ได้ สิ่งนี้ต่างหากที่เราอยากให้เกิดขึ้น แล้วเพื่อให้มันเกิดขึ้น เราทำอะไรบ้าง
8. งบสนับสนุนการผลิต เป็น1ในโครงการหลัก เราสนับสนุนให้คนมี “งบผลิตตั้งต้น” โดยไม่ต้องพึ่งนายทุนที่มีจำนวนไม่มาก และนายทุนเองก็ลำบากกับการแบกรับความเสี่ยงของธุรกิจที่สูงอยู่แล้ว เมื่อหนังที่มีแนวโน้มจะดีได้งบผลิตตั้งต้น โปรเจ็กต์ก็เกิดง่ายขึ้น ไม่ว่าจะไปขอทุนเพิ่มจากไทยและต่างชาติ งบนี้ เรามีให้ทั้งคนที่เก่งอยู่แล้วให้เป็น “ทีมชาติ” เป็นหัวหอกให้เรา มีงบให้คนที่มีฝีมือแต่อาจเคยพลาดจนเกือบหมดโอกาส มีงบสนับสนุนคนหน้าใหม่ที่ยากจะมีคนไว้ใจให้โอกาส สนับสนุนซีรีส์วายที่เป็นหัวหมู่ทะลวงฟันในตลาดโลกให้พาไทยไปไกลขึ้น นอกจากงบสนับสนุนการผลิต เรายังมี cash rebate คืนภาษีให้ผู้ลงทุนไทย สนับสนุนละคร–ซีรีส์ที่ตอนนี้สถานการณ์ทีวีลูกผีลูกคน คนตกงานไปทำอาชีพอื่นซะครึ่งวงการ ให้เขายังสู้และหาลู่ทางต่อ ก่อนที่จะไม่เหลือคนทำ คนลงทุนละครซีรีส์ที่มี IP เป็นของคนไทย แต่ไปอยู่ในมือต่างชาติ และรับจ้างเขาเสียหมด เราสนับสนุนตั้งแต่ พัฒนาบท โปรดักชัน โพสต์โปรดักชัน ไปจนถึงการโปรโมท
9. มีของที่ดีแล้วต้องขาย เราจึงมีโครงการสนับสนุนเรื่อง “ต่างประเทศ” ใครส่งหนังไปประกวดเทศกาลไหนแล้วได้รับเลือก เราสนับสนุนให้คนทำได้เดินทางไปรับรางวัล พานักแสดงไปตกแฟนต่างชาติ พาโปรดิวเซอร์ไปเพิ่มเครือข่ายเพิ่มโอกาส พาผู้กำกับ คนเขียนบทไปเปิดโลก ไปโบกธงชาติ เราสนับสนุนให้เจ้าของหนังไปงานตลาดซื้อขาย ช่วยจ่ายค่าบูท ค่าเข้างาน จัด Networking Party จัด Business Matching จัด Seminar หาวิธีขายใหม่ ๆ เมื่อเงินในไทยไม่พอ ก็ต้องออกไปสู่น่านน้ำโลกที่ยังมีอีกมาก เราเอาเทศกาลภาพยนตร์นานาชาติกรุงเทพกลับมาจัด ทำตลาดซื้อขายขึ้นในไทย หวังจะแบ่ง Buyer จากตลาดต่างชาติมาบ้าง เพราะไม่ใช่ทุกบริษัทที่จะมีงบซื้อตั๋ว เช่าโรงแรม บินไปออกบูทขายงานที่เมืองนอก ที่อาจจะขายได้ไม่คุ้มค่าเดินทางไป
10. จะสร้างงานที่ดีได้ คนต้องเก่ง เราต้องอัพสกิล รีสกิล คนทุกตำแหน่ง เราสนับสนุนให้จัด workshop มากมาย เพื่อเพิ่มความรู้ที่บางเรื่องกระจุก ให้กระจายให้ทั่วถึง หลายตำแหน่งในประเทศมีคนที่ทำอยู่หรือมีความรู้เรื่องนั้นเพียง “นับนิ้วมือ” ทั้งที่เป็นตำแหน่งสำคัญ ไม่ว่าจะเป็น Showrunner, Producer หรือแม้แต่สายต่างประเทศ–เทศกาล–การซื้อขาย เราต้องเพิ่มบุคลากรให้รอบด้าน ให้มีคุณภาพและปริมาณมากพอ เราจะเก่งแต่ผลิตอย่างเดียวไม่ได้ปั้นหม้อสวยมากแต่นอนรออยู่ในโรงงาน ไม่มีคนโปรโมทไม่มีคนพาไปขาย ไม่น่าเชื่อว่าจะแข่งกับใครเขาได้
11. งานจะดี ชีวิตคนทำต้องดี เราสนับสนุนให้เพิ่ม“สวัสดิภาพ” ของผู้คนในอุตสาหกรรมคุณภาพชีวิตของคนในกองถ่ายไม่ใช่แค่การให้เงิน ต้องแก้ไปถึงกฎหมายสวัสดิภาพแรงงาน ชั่วโมงการทำงาน หรือกฎการ turn around ที่ต้องมีเวลาได้พัก ไม่ใช่ทำงานต่อเนื่องหลายวัน ดูไปถึงเรื่องการจัดทำมาตรฐานวิชาชีพ เพื่อให้เข้ากฎเกณฑ์ต่าง ๆ และมีมาตรฐานที่วัดได้ เพื่อกำหนดค่าจ้างที่เป็นธรรมและมีอนาคต และไม่ได้สนใจแค่คนที่อยู่ในอุตสาหกรรมในตอนนี้ แต่ต้องวางแผนถึงเด็ก ๆ รุ่นถัดไป เหมือนทีมฟุตบอลฝึกหัด และถ้าหากเขามองไม่เห็นว่าเขาจะฝากชีวิตไว้กับอาชีพนี้ได้ แล้วเราจะหวังให้อุตสาหกรรมนี้มันดีได้จากอะไร
12. นอกคนจากทำ เราพยายาม “สร้างคนดู” เราสนับสนุนการมี micro cinema โรงภาพยนตร์เล็ก ๆ ให้พื้นที่กับภาพยนตร์ที่ไม่ใช่กระแสหลัก ให้ผู้ชมรับรู้ถึงความหลากหลาย ไม่อย่างนั้นจะเหลือแต่หนัง Blockbusterจากต่างชาติ เราสนับสนุนเทศกาลภาพยนตร์ในประเทศ งานประกาศรางวัลต่าง ๆ เพื่อสร้างกระแสการรับชมและความสนใจอย่างต่อเนื่อง ทั้งงานที่มีอยู่แล้ว และเกิดขึ้นใหม่ ให้มากให้ครอบคลุม
13. ไม่ใช่แค่คนดูในประเทศ เรายังพยายาม “สร้างตลาดผู้ชมในต่างประเทศ” หากคุณเป็นฝรั่ง จะเลือกซื้อซีรีส์สักเรื่องไปฉายในประเทศของคุณ นั่นก็เพราะคุณรู้ว่าที่ประเทศของคุณมีผู้ชมที่รอดูอยู่ นั่นคือ “มีตลาด” แต่เมื่อซีรีส์ไทยไม่ได้มีตลาดผู้ชมในต่างประเทศอยู่ก่อนหน้า รอให้เกิดขึ้นเองไม่รู้มันจะเกิดขึ้นได้อย่าง เราเลยต้องสร้างตลาดผู้ชมขึ้นมา ด้วยโครงการ “ซื้อสิทธิ์ซีรีส์ทีมชาติไปเปิดตลาดต่างประเทศ” ไปฉายในช่องทีวีในประเทศที่ไม่เคยมีตลาดซีรีส์ไทยมาก่อน ให้ฉายฟรี ใครให้เวลาดีได้เลือกเรื่องก่อน ทำเสียงพากย์ภาษานั้นให้ด้วย คล้ายกับที่เกาหลีส่ง “แดจังกึม” มาบุกพวกเราเมื่อ 20 ปีก่อน จนร้านอาหารเกาหลีเต็มเมืองทุกวันนี้ จากที่ไม่เคยมีมาก่อน
14. เราปรับเปอร์เซ็นต์ Cash rebate คืนเงินให้หนังต่างชาติที่เข้ามาถ่ายทำในประเทศไทย เราแค่ปรับขึ้นให้เท่ากับชาวบ้าน ทั้งโลกหันหัวมาลงทุนถ่ายในบ้านเรา ที่มีทั้งโลเกชันดี สตูดิโอที่มีมาตรฐาน ทีมงานฝีมือ และค่าแรงที่สู้ได้สบาย เงินลงทุนที่เข้ามาเพิ่ม ไหลไปสู่ธุรกิจที่เกี่ยวข้องเป็นพันล้านต่อปี
15. เราผลักดันการปรับ พ.ร.บ.ภาพยนตร์ ฉบับใหม่ จากฉบับเก่าที่ไม่ทันสมัย และเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา เน้นควบคุมมากกว่าส่งเสริม ทั้งที่โลกอินเทอร์เน็ตส่งคอนเทนต์ตรงไปถึงมือถือเด็ก ๆ แต่ไม่มีใครคุมได้แบบเดิม
16. ยังไม่หมด แต่เล่าหมดที่นี่ไม่ไหว มีเรื่องอะไรอีกเยอะที่เราคิดว่าควรทำอนุภาพยนตร์ฯ เราถกเถียงกันหนัก เราซัดกันแหลกถึงแต่ละโครงการ ว่าควรทำไม่ควรทำ ทำแบบไหนอย่างไร เพื่อให้เกิดประโยชน์และโปร่งใสที่สุดหลายโครงการขอถัดไปปีหน้า หลายโครงการเสนอไปแล้วไม่ผ่านหน่วยงานที่อนุมัติงบอย่างงบ งานวิจัย ที่เราไม่เคยมีการจัดเก็บข้อมูลของอุตสาหกรรม ที่ให้คนเอาข้อมูลไปวิเคราะห์การลงทุน หรือการตลาดได้ ยอดผู้ชม ตัวเลขที่ขายต่างประเทศ ปริมาณผู้ผลิต หรือแม้แต่รายได้ภาพยนตร์ที่เป็น Official เรายังไม่มี ต้องตามดูจากเพจเฟสบุคที่ก็ไม่รู้ว่าจริงแค่ไหน
17. อนุฯภาพยนต์ไม่ใช่พวกเราที่ต้องทำหน้าที่นี้ตลอดไป มีความตั้งใจตั้งหน่วยงาน THACCA ผ่านพรบ. ที่ไม่ขึ้นตรงกับรัฐบาลดังนั้นไม่ว่ารัฐบาลไหนจะมา รัฐบาลไหนจะไป แต่ THACC ก็จะยังมีงบของตัวเองทุกปีและทำงานอย่างต่อเนื่องไม่สะดุด โดยมีโครงสร้างให้ ตัวแทนภาคเอกชนจาก สมาคม สมาพันธ์วิชาชีพในสาขาต่าง ๆ เข้าไปเป็นผู้กำหนดนโยบาย เราจึงเร่งผลักดันให้ ผู้คนในอุตสาหกรรมตั้งสมาคมวิชาชีพกันขึ้น ทั้งสมาคมลำดับภาพ สมาคมเขียนบทภาพยนตร์และซีรีส์ สมาคมนักแสดง สมาคมช่างภาพ และอีกมากมายเช่น สมาคมโปรดิวเซอร์ที่ควรจะมี แต่การรวมตัวกันยังไม่สำเร็จ
18. เมื่อปีแรกผ่านไป ต้องยอมรับว่า บางเรื่องเห็นผล ส่วนใหญ่ยังไม่เห็นผล แต่เราไม่ลืมว่า 90% ของเมล็ดพันธุ์ที่ฝังลงดิน ยังต้องการการรดน้ำ ใส่ปุ๋ย พรวนดิน ต้องการเวลาเราเพิ่งส่งลูกเข้าเรียนประถม เราจะหวังให้เขาออกแบบเครื่องบินคงไม่ไหว เราใช้เกาหลีเป็น1ในต้นแบบ โดยที่เราก็ไม่ลืมว่าเขาใช้เวลากว่า 30 ปี ทั้งงบประมาณที่มากกว่าหลายสิบหลายร้อยเท่า และความพยายามมหาศาล กว่าเขาจะเป็นอย่างทุกวันนี้ เราคุยกันตั้งแต่แรกว่าหัวใจสำคัญของการพัฒนาคือ “ความต่อเนื่อง” ทำแล้วทำอีก ทำซ้ำ จนมันอาจจะสำเร็จในคนรุ่นถัดไปเรายอมรับว่าเราไม่ได้เก่งกาจทำสำเร็จไปทุกนโยบาย มีสิ่งที่เวิร์คบ้าง ไม่เวิร์คบ้าง ก็ต้องปรับปรุงแก้ไขกันไป แต่ไม่ใช่ล้มเลิก ทำต่อไปไม่แน่ว่าจะสำเร็จ แต่ไม่ทำ ความสำเร็จที่ไหนจะลอยมาหาเรา
19. “ตั้งแต่มี THACCA แล้วมันมีความหวังว่ะพี่” ประโยคนี้ไม่เคยเกิดขึ้นสำหรับคนในอุตสาหกรรมนี้ แต่มันเกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา ทั้งได้ยินจากคนที่เดินมาบอกด้วยตัวเอง และฝากบอก ๆ กันมา แต่วันนี้ แม้งบประมาณในโครงการต่าง ๆ ปีที่ 2 จะผ่าน ครม. ลงมาถึงกระทรวงต่าง ๆ แล้ว ก็ยังมีผู้ที่สามารถหยุดหรือยับยั้ง เพิกถอนมันได้ด้วยอำนาจของเขา เราหวาดหวั่นเหลือเกินว่า เราอาจจะไม่ได้ยิน “ความหวัง” อีก
20. สุดท้ายอยากบอกถึงเหตุผลที่เขียนมาทั้งหมดนี้ ผมหวังอะไร
1) ผมหวังว่าไม่ว่ารัฐบาลไหนที่เข้ามา ไม่ว่าวันนี้หรือวันไหน คุณจะเปลี่ยนชื่อมันไปเป็นอะไรก็ได้ เปลี่ยนคนทำงานเป็นใครก็ได้ คุณจะตรวจสอบอะไรก็ได้ แต่ขออย่ารื้อทำลายเมล็ดพันธุ์ที่ลงดินไปแล้วเหล่านี้เลย มันต้องการแค่ฝนและปุ๋ยแบบที่มันควรจะได้รับ โปรดมั่นใจเถิดว่ามันจะเติบโตมาเป็นอีกพลังที่สำคัญของประเทศเราอย่างประเมิณค่าไม่ได้ เพราะสิ่งที่เราทำกันอยู่เป็นอุตสาหกรรมที่ผลิตความรัก ความหลงไหล ที่มูลค่าของมันไม่มีเพดาน "อย่าทำลายความหวังของเราเลย แค่นั้นเองที่เราหวังจากคุณ”
2) หวังว่าผู้คนในอุตสาหกรรม หรือคนที่พอจะเห็นว่าเราน่าจะเดินกันมาถูกทิศถูกทางบ้าง จะช่วยกันส่งเสียงสนับสนุนให้นโยบายนี้ดำเนินต่อไป ไม่ปล่อยให้มันกลับไปสู่เรื่องราวแบบเดิม ๆ ที่เราเคยเจอมาตลอด โดยที่เราไม่ได้พยายามปกป้องมันเลย
จาก อนุกรรมการฯ คนหนึ่ง
@highlight