นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร พร้อมด้วย รศ.ทวิดา กมลเวชช รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ต้อนรับคณะศึกษาดูงานจากสถาบันมหิตลาธิเบศร ประกอบด้วย นักศึกษาตามหลักสูตรประกาศนียบัตรธรรมาภิบาลทางการแพทย์สำหรับผู้บริหารระดับสูง รุ่นที่ 11 (ปฐพ.11) และหลักสูตรประกาศนียบัตรผู้นำทางการแพทย์ รุ่นที่ 2 (ปนพ.2) ณ ห้องประชุมสภากรุงเทพมหานคร อาคารไอราวัตพัฒนา ศาลาว่าการกรุงเทพมหานคร ดินแดง เมื่อวันที่ 21 มี.ค. 2568 ซึ่งโอกาสนี้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร และรองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร ได้เป็นวิทยากรบรรยายพิเศษแก่คณะศึกษาดูงานด้วย
ทั้งนี้ ผู้ว่าฯ ชัชชาติ ได้กล่าวต้อนรับคณะผู้ศึกษาดูงานและบรรยายพิเศษ เรื่อง "กรุงเทพเมืองน่าอยู่สำหรับทุกคน กับนโยบาย 9 ด้าน 9 ดี" ว่า หัวใจในการขับเคลื่อนงานของกรุงเทพมหานคร (กทม.) ในช่วง 2-3 ปี ที่ผ่านมา คือ Action Plan และหัวใจอีกอย่าง คือ ยุทธศาสตร์ คือการที่รู้ว่าจะทำอะไรตอนที่ยังไม่มีอะไรทำ ซึ่งเป็นหน้าที่ของผู้บริหารหรือ CEO ในการคิดยุทธศาสตร์ ส่วนยุทธวิธีคือรู้ว่าจะทำอะไรเมื่อมีอะไรให้ทำแล้ว
กรุงเทพฯ เป็นเมืองที่ตื่นเต้น คนอยากมาเที่ยว แต่ให้อยู่นาน ๆ ก็อาจเป็นอีกแบบหนึ่ง ปัจจุบันอัตราการเกิดในกรุงเทพฯ ลดน้อยลง เพราะคนรุ่นใหม่ไม่อยากมีลูก ทุกประเทศมีการแข่งขันกันดึงคนเก่งเข้าประเทศ ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครมีทรัพยากรไม่เพียงพอ จึงได้ให้กรุงเทพมหานครก็เหมือนร่างกายเรามีทั้งเส้นเลือดใหญ่และเส้นเลือดฝอย แต่สังเกตว่าคนที่เล่นการเมืองส่วนใหญ่เน้นเรื่องเมกะโปรเจคการลงทุนเยอะ ๆ เวลาวิเคราะห์จริง ๆ ปัญหาของคนกรุงเทพฯ เป็นปัญหาของคนเส้นเลือดฝอย เพราะต่อให้ระบบเส้นเลือดใหญ่แข็งแรงแค่ไหนแต่ถ้าเส้นเลือดฝอยอ่อนแอก็ไปไม่รอด ที่ผ่านมากรุงเทพมหานครปรับปรุงทางเท้าเยอะ และมีสวนสาธารณะใหญ่ใจกลางเมือง เช่น สวนเบญจกิติ สวนลุมพินี เป็นต้น แต่ใครจะมาสวนใหญ่ใจกลางเมืองได้ สวนใกล้บ้านสำคัญกว่าเพราะชาวบ้านอยู่ไกลจึงได้มีการทำสวนสาธารณะใกล้บ้าน ซึ่งตั้งเป้าไว้ 500 สวน ทำไปแล้ว 361 สวน หรืออย่างอุโมงค์ระบายน้ำ กรุงเทพมหานครมีอุโมงค์ระบายน้ำยักษ์แต่ถ้าน้ำไม่สามารถไหลมาลงอุโมงค์ยักษ์ได้ก็ไม่มีประโยชน์
ผู้ว่าฯ ชัชชาติ กล่าวด้วยว่า นอกจากนี้เรื่องความโปร่งใสเป็นสิ่งสำคัญ มีการให้ผู้กระทำผิดออกจากราชการไปแล้ว รวมถึงการนำแพลตฟอร์ม Traffy Fondue มาใช้ในการรับแจ้งเรื่องจากประชาชน ช่วยให้การทำงานได้เร็วขึ้น ซึ่งสะดวกกับประชาชนทุกคนเพราะปัจจุบันประชาชนส่วนใหญ่มีโทรศัพท์มือถือ สำหรับงานทุกอย่างกรุงเทพมหานครไม่สามารถทำด้วยตนเองได้ ต้องอาศัยความร่วมมือจากทุกฝ่าย ซึ่งเมื่อประชาชนเป็นแนวร่วมก็จะเป็นประโยชน์ในการทำงาน
ด้านรองผู้ว่าฯ ทวิดา ได้บรรยาย หัวข้อ "การพัฒนาเมืองสุขภาพดีและนวัตกรรมเมืองด้านสุขภาพ" สรุปใจความโดยรวมได้ว่า กรุงเทพมหานครให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพของประชาชนไม่น้อยไปกว่าด้านอื่น เพราะสุขภาพดีเป็นสิ่งสำคัญ จึงได้ทำโครงการ ตรวจสุขภาพฟรี 1 ล้านคน ด้วยการจัดหน่วยบริการหมุนเวียนไปตามพื้นที่ต่าง ๆ ทั้ง 50 เขต เพื่อเพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบริการของประชาชน ซึ่งข้อมูลในการตรวจสุขภาพล้านคนมีการนำฐานข้อมูลสุขภาพไว้ในเว็บไซต์ให้ประชาชนสามารถเข้าไปดูได้ด้วย
ทั้งนี้ กรุงเทพมหานครยังมีนโยบายในการก่อสร้างโรงพยาบาลเพิ่มเติม เพื่อให้ครอบคลุมการให้บริการด้านสาธารณสุข ซึ่งในปี 2567 โรงพยาบาลสังกัดกรุงเทพมหานคร มีการนำรถ Motorlance มาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพงานด้วย ซึ่งรถ รถ Motorlance ช่วยลดเวลาเฉลี่ยในการเข้าถึงผู้ป่วยลง 50% จากเฉลี่ย 20 นาที เหลือประมาณ 10 นาที ทำให้สามารถเข้าถึงที่เกิดเหตุและช่วยเหลือผู้ประสบเหตุได้เร็วขึ้น