รายงานความสุขโลก (The World Happiness report) ปี 2024 รายงานการจัดอันดับความสุขของประเทศต่างๆ 143 ประเทศทั่วโลก
ฟินแลนด์ครองแชมป์ 7 ปีซ้อนสำหรับคะแนนภาพรวมประเทศ อัฟกานิสถานเป็นประเทศที่ได้คะแนนน้อยที่สุด
นอกจากนี้รายงานยังรวมคะแนน 3 ปี (2021-2023) สำหรับ “กลุ่มหนุ่มสาว”( น้อยกว่า 30 ปี) ประเทศที่ครองแชมป์คือ ลิทัวเนีย ส่วน “กลุ่มสูงวัย” (มากกว่า 60 ปี) เดนมาร์กมาเป็นอันดับ 1
10 อันดับแรก ได้แก่
10 อันดับท้าย ได้แก่
ประเทศในอาเซียน เรียงลำดับดังนี้
แม้ว่าไทยจะอยู่อันดับ 58 ของโลก และเป็นอันดับ 4 ในอาเซียน (รายงานไม่มีข้อมูลของบรูไน) แต่หากดูการจัดอันดับเฉลี่ย 3 ปีแบบแยกอายุจะพบว่า คนหนุ่มสาวของไทย มีคะแนนความสุขอยู่ในอันดับ 45 นำฝรั่งเศส เยอรมนี สหรัฐอเมริกา
หันดูสิงคโปร์เต็งหนึ่งในอาเซียน ภาพรวมอยู่ที่อันดับ 30 ของโลก แต่หากดูกลุ่มหนุ่มสาว จะพบว่า ตกมาอยู่อันดับ 54 ต่ำกว่าไทย
รายงานนี้อ้างอิงการประเมินชีวิตของกลุ่มตัวอย่างทั่วโลกจัดทำโดย Gallup World Poll เก็บข้อมูลในช่วง 3 ปีโดยให้กลุ่มตัวอย่างในแต่ละประเทศให้คะแนนชีวิตปัจจุบันของตนเองตั้งแต่ 0-10 คะแนนในด้านต่างๆ
โดยมี 6 ตัวแปรหลักในการประเมิน
1.GDP ต่อหัว (GDP per capita)
2.การสนับสนุนทางสังคม (Social Support)
3.อายุไขเฉลี่ยที่มีสุขภาพดี (Healthy life expectancy)
4.เสรีภาพ (Freedom)
5.ความเอื้ออาทร (Generosity)
6.การทุจริต (Corruption)
สามตัวแปรแรกมีตัวเลขสถิติสะท้อนชัดอยู่แล้ว ส่วนสามตัวแปรหลังนั้นสะท้อนผ่านการตอบคำถามของกลุ่มตัวอย่าง
ในเรื่องเสรีภาพ โพลจะถามคำถามว่า “คุณพึงพอใจหรือไม่พึงพอใจกับเสรีภาพในการเลือกว่าจะทำอะไรในชีวิต”
ในเรื่องความเอื้ออาทร โพลจะถามคำถามว่า “คุณได้บริจาคเงินการกุศลในช่วงเดือนที่ผ่านมาหรือไม่”
ในเรื่องคอร์รัปชัน จะถามคำถามว่า “การคอร์รัปชันแพร่หลายในรัฐบาลหรือไม่” และ “การคอร์รัปชันแพร่หลายในภาคธุรกิจหรือไม่”
นอกจากนี้โพลยังให้กลุ่มตัวอย่างตอบแบบสอบถามเเกี่ยวกับ อารมณ์ด้านบวกผ่านคำถามว่าเมื่อวานนี้มีประสบการณ์เกี่ยวกับสิ่งต่างๆ อย่างไร เช่น การหัวเราะ ความเพลิดเพลิน การได้ทำสิ่งที่ตนเองสนใจ ส่วนอารมณ์ด้านลบทำผ่านคำถามถึงประสบการณ์เกี่ยวกับความกังวล ความเศร้า และความโกรธ
รายงานนี้เป็นความร่วมมือระหว่าง Gallup World Poll , ศูนย์วิจัยของ Oxford เริ่มทำมาตั้งแต่ปี 2012 หลังจากประเทศภูฏานสนับสนุนมติที่ 65/309 “ความสุข: สู่แนวทางการพัฒนาแบบองค์รวม” ซึ่งรับรองโดยสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติ มีการเชิญชวนให้ประเทศต่างๆ “ให้ความสำคัญกับความสุขและความเป็นอยู่ที่ดีมากขึ้นในการกำหนดวิธีการ บรรลุและวัดการพัฒนาสังคมและเศรษฐกิจ” และต่อมาสหประชาชาติก็ประกาศให้วันที่ 20 มีนาคมเป็นวันแห่งความสุขสากล