ไม่พบผลการค้นหา
'ควอลคอมม์' หุ้นขึ้นร้อยละ 23 หลัง 'แอปเปิล' ยอมจ่ายค่าปรับกรณีกล่าวหาควอลคอมม์ผูกขาด-โก่งราคาชิปโมเด็มสมาร์ตโฟน จนเจอฟ้องกลับว่าละเมิดสิทธิบัตร และคดียืดเยื้อกว่า 2 ปี

หลังมีคดีฟ้องร้องกันไปมาเป็นเวลามากกว่า 2 ปีในศาลหลายประเทศทั่วโลก 'แอปเปิล' บริษัทผู้นำธุรกิจเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์และเทคโนโลยี และควอลคอมม์ บริษัทผลิตสารกึ่งตัวนำ ตัดสินใจยุติข้อพิพาททั้งหมดลงในวันอังคาร (16 เมษายน) ที่ผ่านมา ซึ่งการจับมือกันครั้งนี้ แอปเปิล ต้องจ่ายค่าปรับในมูลค่าที่ไม่มีการเปิดเผยอย่างเป็นทางการให้แก่ควอลคอมม์

หุ้นของบริษัทควอลคอมม์พุ่งขึ้นราวร้อยละ 23 ไปอยู่ที่ 70.45 ดอลลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2,200 บาท ก่อนขึ้นไปแตะ 75.25 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 2,400 บาทหลังปิดชั่วโมงการค้า ควอลคอมม์แถลงเพิ่มว่า บริษัทคาดว่าราคาหุ้นจะเพิ่มสูงขึ้นราว 2 ดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 63 บาท จากการขนส่งผลิตภัณฑ์ที่มากขึ้น 

ทั้งนี้ แอปเปิลเป็นผู้เปิดฉากฟ้องร้องควอลคอมม์เมื่อปี 2560 ในข้อหาผูกขาดสิทธิบัตร และคิดค่าธรรมเนียมในการใช้งานชิปโมเด็มควอลคอมม์ขณะเชื่อมต่อกับไอโฟนในราคาสูงเกินเหตุ แต่ควอลคอมม์ฟ้องกลับโดยระบุว่าแอปเปิลละเมิดสิทธิบัตรของบริษัท เพราะระงับการจ่ายเงินให้ผู้ผลิตรายย่อยของแอปเปิลในต่างแดนที่ประกอบไอโฟนโดยใช้ชิปโมเด็มของควอลคอมม์

การฟ้องร้องของสองบริษัทยักษ์ใหญ่เกิดขึ้นในศาลหลายแห่ง แต่การเจรจาไกล่เกลี่ยประสบความสำเร็จเมื่อคู่กรณีทั้งสองฝ่ายตัดสินใจถอนฟ้อง และแอปเปิลยอมจ่ายค่าปรับให้กับควอลล์คอม รวมถึงยอมรับข้อตกลงที่แอปเปิลจะต้องใช้ชิปโมเด็มของควอลคอมม์ต่อไปอีก 6 ปี ซึ่งกรณีหลังทำให้บริษัทอินเทล ซึ่งผลิตชิปโมเด็มให้แอปเปิลในช่วงเกิดข้อพิพาทกับควอลคอมม์ ประกาศถอนตัวจากตลาดชิปโมเด็ม และระบุว่าจะหันไปเจาะตลาดอุปกรณ์ที่ใช้รองรับเทคโนโลยี 5จีในอนาคตแทน

มาร์ค ปีเตอร์สัน อาจารย์คณะนิติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยฟอร์ดแฮม ในมหานครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐฯ กล่าวว่า ข้อตกลงครั้งนี้มีความสำคัญมากสำหรับควอลคอมม์ เนื่องจากบริษัททั่วโลกและตลาดสินค้าอิเล็กทรอนิกส์อาจได้รับผลกระทบในวงกว้างหากคำตัดสินของศาลเป็นไปในทางตรงกันข้าม 

อย่างไรก็ตาม ปีเตอร์สัน เตือนว่า ควอลคอมม์ยังมีคดีค้างอื่นๆ ที่เกี่ยวพันกับการร้องเรียนต่อหน่วยงานการค้าของสหรัฐฯ (Federal Trade Commission) และหน่วยงานอื่นๆ ในต่างประเทศที่ยังต้องพิจารณาเพิ่มเติมด้วย

อ้างอิง; Reuters, CNN