ไม่น่าเชื่อเลยว่า ในปี 2562 เราจะมาเถียงกันเรื่อง "ฉี่คนกินได้หรือไม่ได้" ทั้งที่จริงๆ แล้ว การรักษาสุขภาพ หรือรักษาอาการเจ็บป่วยก็ทำได้หลายอย่าง ไม่ต้องพึ่งพาฉี่อย่างครั้งพุทธกาลตามที่อ้างกัน แต่เอาเถอะความเชื่อใครความเชื่อมัน แต่ไม่ต้องไปบังคับ หว่านล้อม หรือหลอกให้ใครเขากินเหมือนอย่างที่เป็นข่าว อันนั้นไม่น่ารัก เพราะถ้าเจ้าตัวคนกินเขารู้อาจมีอ้วก ทางที่ดีใครใคร่กินก็กินไปเองเถอะ
เท่าที่สังเกตดูคนที่มักแนะนำชาวบ้านให้กินฉี่ มักมาพร้อมกับความเชื่อเรื่องสุขภาพทางเลือกแนวธรรมะ นั่นก็เพราะมีการอ้างกันว่าพระพุทธเจ้าท่านบัญญัติไว้ให้พระภิกษุทำยาจากฉี่ตัวเองไว้กินเวลาอาพาธ ที่อ้างกันอย่างแพร่หลายก็คือ "มหาธรรมสมาทานสูตร" และ "ปูติมุตตเภสัช" ซึ่งล่าสุด “หลวงพี่พระมหาไพรวัลย์ วรรณบุตร” ท่านก็ได้แถลงไขผ่าน FACEBOOK ไปแล้วว่าคำว่า "มูตร" หรือ "ฉี่" ที่ระบุถึงในพระไตรปิฎกเป็น "ฉี่โค เยี่ยวโค ไม่มีส่วนไหนที่ระบุถึงฉี่ของมนุษย์สักที่เดียว" ดังนั้น เราจะขอข้ามเรื่องฉี่ๆ ในพระไตรปิฎกไป แต่จะขอนำเสนอ "ทัศนะเกี่ยวกับฉี่คน" ในสมัยโบราณกันหน่อยว่า เขามองกันยังไง
ในหนังสือ "สวัสดิรักษา" ที่ระบุถึงวิธีการปฏิบัติตนของเจ้าชายหน่อเนื้อเชื้อกษัตริ��์ กำหนดเรื่องการ "อึ-ฉี่" อยู่ระดับหนึ่ง เช่น
"อนึ่งนั่งบังคนอย่ายลต่ำ อย่าบ้วนน้ำลายพาเสียราศี
ผินพักตร์สู่อุดรประจิมดี ไม่ต้องผีคุณไสยพ้นภัยพาล"
หรือ
"อนึ่งว่าถ้าจะลงสรงสนาน ทุกห้วยธารเถื่อนถ้ำและน้ำไหล
พระพักตร์นั้นผันล่องตามคลองไป ห้ามมิให้ถ่ายอุจาร์ปัสสาวะ"
ที่ต้องกำหนดไว้ก็เพราะการอึ-ฉี่ ที่ไม่ถูกไม่ควร จะทำให้เสียสิริมงคลนั่นเอง ซึ่งเรื่องเสียสิริมงคลจากฉี่ มีเล่าไว้ใน "พระนล" เช่นกัน
ขอเท้าความก่อนว่า "พระนล" เป็นนิทานแทรกอยู่ในมหากาพย์มหาภารตะ บ้านเราเอามาแต่งมีทั้งฉบับคำหลวง และคำฉันท์ แต่เนื้อเรื่องคงความเดียวกัน คือ พระนางทมยันตี เลือกคู่สยุมพรเป็น "พระนล" บังเอิญงานเลือกคู่นี้มีระดับบิ๊กไปชุมชนคัดตัวกันเยอะ ทั้งกษัตริย์ และเทวดา เมื่อพระนางทมยันตีเลือกพระนลมนุษย์ธรรมดาๆ เทวดาบางองค์ก็เลยอิจฉา คอยจ้องทำลายพระนลอยู่ตลอดๆ
ในที่สุดพระนลก็พลาด กระทำการเสียศิริมงคลอย่างมากด้วยการฉี่แล้วไม่ได้ล้างเท้าให้สะอาด (ประมาณว่าฉี่กระเด็น หรือฉี่รดโดนเท้าตัวเอง) แล้วไปเข้าเฝ้าเทพเจ้าบนสวรรค์ เรียกว่าขึ้นสวรรค์แบบไม่สะอาดผุดผ่องก็ว่าได้
"สาเหตุไซ้รคือจอมภพ ไถ่มูตร์จบสำเร็จไซ้ร ได้เสวยนํ้ามนต์ดื่ม
แต่พะเอินลืมล้างบาท ยามลิลาศไปบวงสวรรค์"
(พระนลคำหลวง พระราชนิพนธ์ใน ร.6)
เมื่อพลาดฉี่ไม่ล้างเท้าเข้าแบบนี้ เทวดาขี้อิจฉาเลยได้โอกาสสิงสู่ ทำให้พระนลกลายเป็นผีพนันบ้าสกา เป็นที่มาของการเสียบ้านเสียเมือง และได้ทุกขเวทนาต่างๆ นานา เสียคนเพราะฉี่ก็ว่าได้
มีเรื่องน่าสนใจอยู่นิดหน่อยเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องฉี่ในสมัยโบราณ โดยเฉพาะฉี่ของบุรุษเพศว่าเป็นเหตุให้เกิดการตั้งครรภ์ได้ และการท้องที่ว่านั้นก็เป็นการปฏิสนธิแบบผ่านระบบย่อยอาหารอีกต่างหาก หรือพูดง่ายๆ ก็คือ กินฉี่ผู้ชายเข้าไปแล้วท้องนั่นเอง
เช่น ใน ตำนานท้าวแสนปม เล่าว่านายแสนปมไปฉี่ที่ต้นมะเขือตลอด แล้วก็เก็บผลมะเขือขายไปด้วย ด้วยพลังแห่งฉี่นั้น ทำให้เจ้าหญิงแห่งเมืองไตรตรึงษ์ที่ได้กินมะเขือตั้งครรภ์ซะเฉยๆ ส่วน “สุบินชาดก” ก็เล่าว่า “กินนรีตนหนึ่งมักมากไปด้วยราคฤดี เห็นเพื่อนกันเขามีสามีใคร่จะมีบ้าง จึงเที่ยวไปในนานาประเทศเพื่อจะหาผัว” จากนั้นก็ไป “ดื่มน้ำสุกะ (น้ำกาม) อันไหลออกกับน้ำมูตรของพระฤษีนางก็มีครรภ์”
จริงๆ มีเรื่องตำนานการกินฉี่แล้วท้องอีกหลายเรื่อง แต่ขอละไว้ก่อนไม่งั้นจะยาว ขอเข้าเรื่อง “ฉี่” กับการ “ลงทัณฑ์” เสียก่อน อย่างที่อ่านมาแล้วข้างต้นจะเห็นว่าทัศนะของคนโบราณที่มีต่อ “ฉี่” ไม่ใช่เรื่องดีนัก มองว่าเป็นสิ่งที่ทำให้เสียศรี หรือสิริมงคลได้ ดังนั้น ฉี่จึงมักถูกกล่าวถึงในฐานะ “เครื่องลงทัณฑ์” สำหรับบุคคลที่ต่ำทราม หรือทำกรรมอย่างร้ายกาจ เรามักได้ยินกันบ่อยๆ ก็คือ “เปรต”
ใน “มหาเปสการเปตวัตถุ” เล่าว่าหญิงคนหนึ่งตอนยังเป็นๆ ชอบด่าสามีขณะทำบุญทำทาน ตายมาเป็นเปรตจึงต้อง “กินคูถ (ขี้) มูตร เลือด และหนอง อันไม่สะอาดตลอดกาลทุกเมื่อ”
แม้สื่อถึงเรื่องบาปและการลงโทษ แต่ฉี่ก็เป็นเครื่องบอกเล่า "ความมีบุญ" ได้เหมือนกัน เพราะฉี่ของอะไรบางอย่างที่มีบุญญาธิการจะไม่เหมือนฉี่ธรรมดาสามัญทั่วๆ ไป
เช่น ถ้าเป็นฉี่-อึ สิ่งมีชีวิตธรรมดาจะ "เหม็น" อย่างที่เรียกว่ามนุษย์ขี้เหม็นนั่นแหละ ส่วนฉี่-อึของสิ่งใดๆ ที่มีความพิเศษ อยู่ในสภาวะเทพๆ ก็จะมีความ "หอม" อันเป็นความเหนือธรรมชาติ ยกตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ใน "คำฉันท์คชกรรมประยูร" ของ "หลวงราชวังเมือง" แต่งในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวบรมโกศ บอกว่าช้างมงคล "คันธหัตถี" กายสีไม้กฤษณา มี "สิ่งมูตรแลมูลตัวหอม" (ถ้าเป็นคนฉี่หอม คงอาจหมายถึงคนที่เป็นโรค MSUD โรคทางพันธุกรรมที่ร่างกายไม่สามารถย่อยสลายโปรตีนบางชนิด ทำให้กลิ่นฉี่คล้ายกับเมเปิ้ลไซรัป)
หรือบางครั้งฉี่ของผู้มีบุญก็ทรงพลัง โดยใน "ตำนานพระแก้วมรกต" พระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 4 เล่าว่า พระเจ้าอนุรุทธราชาธิราช แห่งพุกามประเทศ กริ้วพระเจ้านารายณ์สุริยวงศ์กรุงอินทปัตถ์มหานคร ที่ไม่ยอมส่งคืน "พระแก้วมรกต" ครั้นจะฆ่าคู่กรณีทิ้งก็รู้สึกว่าตัวเองมาสายธรรมแล้ว เลยจะสั่งสอนให้เกรงกลัวแบบเบาะๆ ว่าแล้วก็เสด็จเข้าไปในโรงช้างภายในพระราชวังพระเจ้านารายณ์สุริยวงศ์ แล้วถ่ายพระบังคนเบาใส่เสาตะลุงหินผูกช้าง ด้วยฤทธิ์เดชแห่งพระบังคนเบานั้นก็กัดเสาหินจนขาดล้มลง
นี่เป็นตัวอย่างเล็กๆ น้อยๆ ที่แสดงให้เห็นว่า “ฉี่พิเศษ” จะต้องมาจากสิ่งพิเศษๆ แต่ถ้าให้พิเศษไปมากกว่านั้น หรือที่เรียกว่า “มีบุญขั้นสุด” ก็คือ การไม่ต้องฉี่-อึ อีกเลย
โดยในหนังสือไตรภูมิพระร่วง บรรยายไว้ว่า พระพรหมใน “โสฬสพรหม” หรือพรหมทั้ง 16 ชั้น รัศมีจะรุ่งเรืองยิ่งกว่าเทวดาในสวรรค์ชั้นฉกามาพจร ทุกองค์จะประทับนิ่งในปราสาททองหรือปราสาทแก้ว ทุกอย่างอยู่ในสภาวะทิพย์ ดังนั้น การหายใจเข้าออก การกินอาหาร รวมไปถึงการอุจจาระปัสสาวะ จะไม่บังเกิดแก่พรหมเหล่านี้เลย