เมื่อวันที่ 26 ก.ย. 2566 เวลา 09.00 น. ที่ศาลอาญา รัชดาฯ อานนท์ นำภา ทนายความสิทธิมนุษยชนและนักกิจกรรมทางการเมือง เดินทางมาฟังคำพิพากษาในคดีซึ่งถูกฟ้องในข้อหาหลักตาม “หมิ่นประมาทกษัตริย์ฯ” ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 และข้อหาอื่น ๆ รวม 9 ข้อกล่าวหา จากกรณีการปราศรัยในการชุมนุม #ม็อบ14ตุลา ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เมื่อวันที่ 14 ต.ค. 2563
อานนท์ ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชน ก่อนขึ้นไปฟังคำพิพากษาว่า ที่ผ่านมาทั้งขบวนคนรุ่นใหม่ได้ร่วมกันสร้างปรากฏการณ์เปลี่ยนประเทศ จนไม่สามารถย้อนไปกลับเหมือนเดิมในแง่ของความคิดได้แล้ว คนทั้งประเทศเชื่อมั่นในสิทธิเสรีภาพเรื่องความเสมอภาคและพร้อมที่จะเปลี่ยนแปลงประเทศให้เป็นอารยะ ซึ่งเราเห็นจากการเปลี่ยนแปลงในทุกรูปแบบทั้งในสังคมออนไลน์และบนท้องถนน รวมทั้งผลการเลือกตั้งที่ผ่านมา ก็เป็นที่ชัดเจนอยู่แล้วว่า ในหลายพื้นที่กลับมาสนับสนุนฝั่งประชาธิปไตย
อานนท์ กล่าวต่อว่า คนรุ่นใหม่ที่เติบโต ก็เติบโตขึ้นมาบนพื้นฐานในความเชื่อมั่นสิทธิเสรีภาพและความเท่าเทียม ตนคิดว่าการชุมนุม การเรียกร้องตั้งแต่ปี 2563 ทำให้สังคมเปลี่ยนไปเยอะมาก ถือเป็นการต่อสู้ที่คุ้มค่ามาก
ตนอยากให้กำลังใจ ตอนนี้ยังไม่ทราบคำพิพากษา แต่ว่าถ้าคำพิพากษามันออกมาในทางที่เลวร้าย ก็ต้องไปติดคุก ก็ต้องต่อสู้กันต่อไปจากในคุก ต่อให้เอาตนไปขัง จากนี้ไปก็ต้องเบิกตัวขึ้นมาขึ้นศาลอยู่ดี เพราะตนมีหน้าที่ทนายความ ต้องขึ้นมาว่าความให้กับคดีการเมือง กรณีการชุมนุมที่ห้าแยกลาดพร้าว เมื่อปี 2563 ตนก็ต้องทำหน้าที่ทั้งในคุกแล้วก็นอกคุก ตนขอให้กำลังใจทุกคนทุกท่านที่สนับสนุน ก็อยากให้ทุกคนต่อสู้ต่อไป เพราะว่าบ้านเมืองเราเดินมาไกลมากแล้ว เราไม่อาจกลับไปนับหนึ่งได้อีก อยากให้การต่อสู้ของคนรุ่นใหม่มันเปลี่ยนแปลงประเทศอย่างแท้จริงและอยากให้กำลังใจทุกคน
อานนท์ กล่าวต่อด้วยว่า วันนี้ตนกำลังใจยังดี ตนขอขอบคุณผู้ที่อยู่เบื้องหลังทุกคน ทั้งคนที่ไม่สามารถเอ่ยนามได้ขอขอบคุณทุกท่านที่มาให้กำลังใจในวันนี้ ไม่ว่าผลจะออกมาเป็นอย่างไรการต่อสู้ยังไม่สิ้นสุด
เมื่อถามว่าการต่อสู้ที่ต้องสูญเสียอิสรภาพไปจากคำพิพากษาในวันนี้จะถือว่าคุ้มค่าหรือไม่ อานนท์ ตอบว่า การต่อสู้ที่ผ่านมาถือว่าคุ้มค่า เพราะคำพิพากษาในวันนี้จากกรณีชุมนุมวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ซึ่งตนปราศรัยปรามไม่ให้ตำรวจมาสลายการชุมนุม วันนี้อาจจะสูญเสียเสรีภาพจากคำพิพากษาซึ่งอาจจะหลายปีหน่อย แต่ก็คุ้มค่าเพราะวันที่ 14 ตุลาคม 2563 ตอนเราเดินขบวนจากราชดำเนินไปทำเนียบรัฐบาล ไม่เกิดการสูญเสีย ถือว่าเป็นการเสียเสรีภาพส่วนตัวที่คุ้มค่าต่อส่วนรวมด้วยความเต็มใจ
เมื่อถามว่าเมื่อ อานนท์ต้องเสียอิสรภาพ คิดว่านักกิจกรรมหรือประชาชนจะออกมาเคลื่อนไหวต่อหรือไม่ อานนท์ ตอบว่า ตนมองว่าการเคลื่อนไหวยังมีอยู่เรื่อยๆ การผ่อนไปตามสถานการณ์ก็มี แต่ว่าเราจะไม่หยุด การต่อสู้มันมีเป้าหมายที่ชัดเจนแล้วว่า เราต่อสู้เพื่ออะไร