ไม่พบผลการค้นหา
‘พิชัย’ ติง ค่าไฟฟ้าแพงมหาโหด รัฐต้องหาทางแก้ไขก่อนจะแบกกันไม่ไหว จี้ เก็บค่าก๊าซหุงต้มเข้าปิโตรเคมี เพื่อนำมาลดค่าก๊าซประชาชน แนะ รื้อโครงสร้างราคาไฟฟ้า งดแจกใบอนุญาต กำหนดทิศทางให้ชัดเจน

พิชัย นริพทะพันธุ์ อดีต รมว. พลังงาน และ รองประธานยุทธศาสตร์พรรคเพื่อไทยด้านเศรษฐกิจ กล่าวว่า เศรษฐกิจโลกยังมีแนวโน้มที่จะถดถอยมาก ขณะที่เศรษฐกิจไทยในไตรมาส 3 แม้จะดูเหมือนดีแต่ถ้าเทียบกับประเทศในอาเซียนแล้วยังต่ำมาก ทั้งนี้การประชุม APEC ที่ผ่านมา ประเทศไทยได้ประโยชน์น้อยมาก บทบาทของผู้นำเทียบไม่ได้เลยกับบทบาทผู้นำของชาติอาเซียนอื่น

นอกจากนี้ยังมีการทำร้ายผู้ประท้วงอย่างรุนแรงจนถึงขั้นตาบอด และทำร้ายสื่อมวลชน ซึ่งเป็นการกระทำเกินกว่าเหตุ และควรจะต้องมีผู้รับผิดชอบในเรื่องนี้ ทั้งนี้ ในต่างประเทศที่เจริญแล้วที่การจัดประชุมแห่งชาติก็มักจะมีการประท้วงเป็นเรื่องปกติ แต่รัฐบาลที่มีคุณธรรมจะไม่มีการกระทำผู้ประท้วงแต่อย่างใด จึงอยากเรียกร้องหาผู้รับผิดชอบด้วย 

นอกจากนี้จากการลงพื้นที่ในเขตบางรักและเขตสาทร พบว่าประชาชนเดือดร้อนกันอย่างมากจากพิษเศรษฐกิจ มีหนี้สินจำนวนมาก แต่รายได้ไม่เพิ่มแถมลดลง ค่าครองชีพและค่าใช้จ่ายสูง หลายคนถึงกับขู่ว่าอยากตายเพราะสู้ต่อไปไม่ไหวแล้ว โดยเฉพาะค่าใช้จ่ายเรื่องค่าไฟฟ้าและค่าก๊าซหุงต้มที่พุ่งขึ้นสูงมาก ดังนั้นจึงอยากเสนอแนวในการแก้ไขราคาก๊าซหุงต้มดังนี้ 

ปัญหาค่าไฟฟ้าที่แพงมหาโหด ที่กำลังจะขึ้นราคาจากหน่วยละ 4.72 บาท เป็นหน่วยละ 5.37 บาท หรือ 5.70 บาท และ อาจจะถึง 6.03 บาทได้ ทั้งที่ตอนต้นปีราคายังอยู่ที่หน่วยละ 3.70 บาทเลย ซึ่งนอกจากจะทำให้ ค่าใช้จ่ายประชาชนเพิ่มสูงแล้ว จะทำให้ความสามารถแข่งขันของไทยลดลง เพราะค่าไฟฟ้าของไทยแพงกว่าค่าไฟฟ้าของประเทศคู่แข่งมาก สาเหตุหลักมาจาก ค่าเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้นสูง จากก๊าซอ่าวไทยที่มีปริมาณลดลง

และ มีปัญหาการส่งมอบสัมปทานมาเพิ่มเติม และปัญหาก๊าซจากเมียนมาร์ ทำให้ต้องนำเข้าก๊าซ LNG ที่มีราคาสูง และใช้นำ้มันเตาและน้ำมันดีเซลที่มีราคาสูงเช่นกัน ทำให้ กฟผ. ขาดทุนเกือบ 2 แสนล้านบาทแล้ว นอกจากนี้ยังต้องจ่ายค่าความพร้อมให้กับโรงไฟฟ้าที่สร้างเสร็จแต่ไม่ได้จ่ายไฟฟ้าเพราะมีกำลังการผลิตล้นเกินกว่า 50% ซึ่งยังมีโรงงานไฟฟ้าที่กำลังจะสร้างเสร็จเพิ่มขึ้นอีกเรื่อยๆ ซึ่งจะทำให้ภาระหนักมากขึ้น อีกทั้งยังจะอนุมัติใบอนุญาตไฟฟ้าเพิ่มกันอีกถึง 5,203 เมกกะวัตต์

ทางแก้เรื่องไฟฟ้าสามารถทำได้โดย การเจรจาพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลกับประเทศกัมพูชาตามที่ได้บอกไว้แล้ว นอกจากนั้นน่าจะยังสามารถเจรจาค่าความพร้อมให้ลดลงได้ นอกจากนี้รัฐควรเข้าไปไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทการส่งมอบสัมปทานในอ่าวไทยเพื่อให้ส่งมอบก๊าซได้ตามปกติ รวมถึงต้องพยายามให้ประเทศเมียนมาร์กลับสู่ปกติโดยเร็ว การส่งก๊าซธรรมชาติจากเมียนมาร์มาไทยจะได้เป็นปกติ ไม่โดนวางระเบิด เป็นต้น 

สำหรับปัญหาราคาก๊าซ LPG หรือ ก๊าซหุงต้มที่แพงนั้น รัฐสามารถที่จะเก็บเงินจากก๊าซ LPG ที่ส่งเข้าธุรกิจปิโตรเคมีได้ ซึ่งในอดีตก็เคยทำมาแล้วในสมัยรัฐบาลเพื่อไทย แต่ถูกยกเลิกไปหลังมีการปฏิวัติ ซึ่งควรต้องนำมาเก็บใหม่ และควรเก็บมากกว่าเดิมด้วย จะได้นำเงินมาลดราคาค่าก๊าซหุงต้มที่ประชาชนใข้อยู่ได้ 

การแก้ไขราคาพลังงาน ผู้นำต้องมีความรู้เรื่องพลังงานอย่างแท้จริง และ ต้องรู้โครงสร้างราคาพลังงานเพื่อจะได้เข้าไปแก้ไขให้ถูกทาง และจะต้องไม่มีผลประโยชน์ทับซ้อนหรือตกอยู่ใต้อำนาจของบริษัทพลังงาน เพราะหากเป็นเช่นนั้นจะเป็นการลูบหน้าปะจมูก และจะไม่มีทางแก้ปัญหาพลังงานได้ ประชาชนจะยิ่งลำบากกันมากขึ้น 


จุฑาพร ติงเอเปคเป็นเอแป๊ก

จุฑาพร เกตุราทร ว่าที่ผู้สมัคร ส.ส. กทม. เขต บางรัก สาทร ปทุมวัน และ โฆษกคณะทำงานเศรษฐกิจพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า เศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 3 ขยายตัวได้ 4.5% ซึ่งทำให้ 9 เดือนแรกของปีนี้ไทยขยายตัวได้ 3.1% แม้เศรษฐกิจไทยจะเริ่มฟื้นตัวแต่ยังขยายตัวต่ำมาก 

เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศในกลุ่มอาเซียนใน 9 เดือนที่ผ่านมา เช่น มาเลเซียขยายได้ 9.36% เวียดนาม 8.8% ฟิลิปปินส์ 7.76% และอินโดนิเซีย 5.39% แม้กระทั่งประเทศที่พัฒนาแล้วอย่างสิงคโปร์ยังขยายได้ถึง 4.2% ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้วจะเห็นได้ชัดเจนว่าไทยขยายตัวได้ต่ำ ทั้งที่ประเทศอื่นในอาเซียนเศรษฐกิจดีกันหมด 

การลงพื้นที่อย่างต่อเนื่อง ในเขต บางรัก สาทร ปทุมวัน พบว่า ประชาชนเดือดร้อนหนักมาก จากราคาพลังงานที่ปรับสูงขึ้นมาก ทำให้ต้นทุนในการประกอบธุรกิจ และค่าครองชีพสูงมากในแต่ละวัน ภาระหนี้สิ้นรุมเร้า หลายท่านกล่าวทั้งน้ำตา และสิ้นหวังในการใช้ชีวิต พ่อค้าแม่ค้าโอดขาดรายได้ 

จากการที่ไทยเป็นเจ้าภาพการประชุม APEC ที่ผ่านมา เพราะหลายพื้นที่โดนสั่งห้ามขายของ ในการประชุม APEC หมดเงินงบประมาณไปจำนวนมหาศาล แต่ประชาชนไทยกลับได้รับประโยชน์น้อยกว่าที่ควรจะเป็น บทบาทการเป็นผู้นำอาเซียนของนายกรัฐมนตรีไม่โดดเด่น ในขณะที่ครั้งนี้ ประธานาธิบดี โจโค วิโดโด ของอินโดนีเซียที่เป็นเจ้าภาพจัด G 20 ที่บาหลี 

ที่ปรากฏภาพ ประธานาธิบดีไบเดน จับมือกับ ประธานาธิบดีสีจิ้นผิง กระจายออกไปทั่วโลก ทำให้การประชุม APEC ในไทยดูด้อยกว่า โดยประธานาธิบดีไบเดนไม่ได้มา และ ประธานาธิบดีปูตินของรัสเซียที่บอกว่าจะมาก็ไม่ได้มาเช่นกัน และยังถูกเยาะเย้ยวิจารณ์จนเป็นเรื่องตลกขบขันเป็นวงกว้างจากการสะกดป้ายต้อนรับภาษาอังกฤษผิด

นอกจากนี้ปัญหาที่แย่หนักคือ การดูแลผู้นำจากทั่วโลกอย่างดี อาหารเริ่ดหรูหลากหลาย แต่กลับใช้ความรุนแรงกับคนไทยด้วยกันเอง โดยเฉพาะต่อผู้ชุมนุม ซึ่งทำให้ผู้ชุมนุมบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังมีการใช้กระสุนยางยิงใส่ผู้ชุมนุมทำให้ผู้ชุมนุมถึงกับตาบอด ซึ่งเป็นการใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ และถือเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานอย่างรุนแรง อีกทั้งสื่อมวลชนจำนวนมากก็ได้รับบาดเจ็บในการสลายการชุมนุมครั้งนี้ด้วย ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่เป็นลบ 

ตอกย้ำกับรัฐบาลที่ได้ชื่อว่าเป็นรัฐบาลที่สืบทอดอำนาจจากเผด็จการ ทั้งที่หากไปดูประเทศที่เจริญแล้วอื่นๆ เวลามีการจัดประชุมนานาชาติ ก็มักจะมีการชุมนุมประท้วงแสดงความเห็นอยู่แล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ รัฐบาลไม่ควรใช้ความรุนแรงถึงขนาดนี้ เศรษฐกิจโลกที่ยังคงมีความผันผวน และสถานการณ์โควิดที่อาจกลับมาแพร่ระบาดอีกครั้ง ส่งผลให้รัฐบาลยังคงต้องเฝ้าระวังสถานการณ์เศรษฐกิจไทยในอนาคตอย่างใกล้ชิด การประชุมนานาชาติที่สำคัญ กว่าประเทศไทยจะได้เป็นเจ้าภาพก็แสนยาก 

แต่พอเป็นเจ้าภาพแล้วกลับไม่สามารถที่จะทำประโยชน์ให้กับประเทศไทยได้อย่างเต็มที่ แถมยังมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนกับผู้ชุมนุมและสื่อมวลชนอีกด้วย เลยทำให้การประชุม เอเปก จึงกลายเป็น เอ - แป๊ก เพราะแป๊ก เกิดประโยชน์น้อยกว่าที่ควร ไม่คุ้มค่ากับการลงทุนและลงแรงเป็นเจ้าภาพในครั้งนี้