“พรรคไทยภักดีประเทศไทย” แปรสภาพจาก “กลุ่มไทยภักดี” กลุ่มอันเป็นที่หยัดยืนของ “หมอวรงค์” ตลอดปลายปี 2563
กลุ่มไทยภักดี ถูกตั้งขึ้นเพื่อต่อกรกับม็อบปลดแอก มีเป้าหมายเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ โดยนัยนี้ พรรคใหม่ที่ตั้งขึ้นจึงมีเป้าหมายเดียวกันอย่างไม่ต้องสงสัย เพียงแต่เปลี่ยนพื้นที่เล่นใหม่ จากท้องถนนสู่รัฐสภา
“กลุ่มไทยภักดี”
เมื่อไม่อาจขึ้นสู่จุดสูงสุดในพรรคสีฟ้า “หมอวรงค์” มือปราบจำนำข้าว จึงหันไปซบอก “ลุงกำนัน” ใช้ “พรรครวมพลังประชาชาติไทย” เป็นฐานที่มั่นในการโจมตี “ธนาธร-ปิยบุตร-พรรคอนาคตใหม่”
แต่เมื่อประเด็นในการ “ปลดแอก” ถูกยกระดับให้สูงยิ่งขึ้นไปชนิด “ไร้เพดาน” กลางเดือนสิงหาคม 2563 “กลุ่มไทยภักดี” จึงถือกำเนิดขึ้นอย่างเป็นทางการ
ในวันนั้นพวกเขาประกาศจุดยืนในการ “ปกปกป้องชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์-ยึดมั่นการปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข เป็นรูปแบบที่สอดคล้องกับสังคมไทย-พัฒนาประเทศบนพื้นฐานหลักวิถีไทย-ใช้หลักการเศรษฐกิจพอเพียง”
ให้หลังจากนั้น “หมอวรงค์” ออกเดินสายระดมมวลชนผู้จงรักภักดีในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ ตัวเขาเองได้รับ “สัญญาณพิเศษ” ให้เดินหน้าส่ง “สาร” ทางการเมืองได้เต็มที่
“หมอวรงค์” บันทึกถึงความสำเร็จของ “กลุ่มไทยภักดี” ในปี 2563 ไว้ว่า
“1.สถาบันพระมหากษัตริย์ ยังแข็งแกร่งดุจหินผา ที่อยู่ในหัวใจของคนไทยทุกคน แม้จะมีความพยายามจ้องทำลายจากกลุ่มที่ไม่หวังดี แต่สถาบันก็มีการปฏิรูปตนเอง ให้อยู่ในหัวใจของประชาชนตลอดไป
2.ความล้มเหลวของม็อบปลดแอก ที่เปิดมาต้องการประชาธิปไตย อ้างเรียกร้องปฏิรูปสถาบันพระมหากษัตริย์ แต่พฤติกรรมที่แสดงออกล้วนไม่หวังดี มีแต่ความหยาบถ่อย สุดท้ายไม่รู้จะเป็นสาธารณรัฐ หรือคอมมิวนิสต์ และไม่รู้ว่าจะเป็นสามนิ้วหรือค้อนเคียว และแล้วกำลังแปรสภาพเป็นม็อบรำคาญ
3.การลุกขึ้นมาใส่เสื้อเหลือง ของประชาชนคนไทยทั้งประเทศ....
4.การล้มล้างรัฐธรรมนูญ 2560 ...ซึ่งเชื่อว่าไม่น่าจะล้มล้างรัฐธรรมนูญที่ผ่านประชามติ 16.8 ล้านเสียงได้
5.ความพ่ายแพ้อย่างหมดรูปของกลุ่มก้าวหน้า ในการเลือกตั้งอบจ. 42 ต่อ 0 เป็นปรากฏการที่สร้างความยินดีของคนไทยทั้งประเทศ ที่ชี้ให้เห็นว่าเพลงหนักแผ่นดิน มีพลังจริง ไม่คิดว่าจะถูกไล่ทั้งแผ่นดิน กระแสไม่เลือกพวกล้มล้างสถาบันได้ผล”
“กลุ่มไทยภักดี” ยังหนุนให้บังคับใช้ ม. 112 อย่างเคร่งครัดและเป็นธรรม พร้อมเรียกร้องให้ประชาชนร่วมเก็บหลักฐานดำเนินคดี ต่อผู้เข้าข่ายกระทำความผิด พร้อมทั้งยื่นหนังสือต่อรัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการให้ดำเนินมาตรการที่เกี่ยวข้องเพื่อปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์
“1.กระทรวงศึกษา ต้องมีนโยบายที่ชัดเจนแก่ผู้บริหารทุกระดับ ของโรงเรียนและสถานศึกษา ในการพิทักษ์รักษาไว้ซึ่งสถาบันชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์ ต้องไม่เปิดโอกาสให้กลุ่มการเมือง และเครือข่ายใช้โรงเรียนและสถานศึกษาในการปลุกระดม จาบจ้วงสถาบันหลักของชาติ
2.กระทรวงศึกษาต้องมีนโยบาย ที่ชัดเจนต่อครูและบุคคลากรทางการศึกษา ในการพิทักษ์สถาบันชาติ ศาสนาและพระมหากษัตริย์ โดยเฉพาะครูหรือบุคคลากรทางการศึกษา ที่มีจิตใจเอนเองสนับสนุนผู้ที่ไม่หวังดี เพราะถ้าปล่อยทิ้งไว้ จะเป็นอันตรายต่อความคิดของนักเรียน
3.กระทรวงศึกษาควรมีการปรับปรุงหลักสูตร เพื่อสร้างสำนึกของความภูมิใจในความเป็นชนชาติไทย
4.กระทรวงศึกษาควรมีกิจกรรมรณรงค์ สร้างจิตสำนึกต่อนักเรียน ครู ตลอดจนบุคคลากรทางการศึกษา ให้เห็นถึงความสำคัญ และความเข้าใจที่ถูกต้อง ของสถาบันหลักของชาติ
5.ถ้าหากเกิดกิจกรรมทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ในโรงเรียนหรือสถานศึกษาใด ควรต้องให้ผู้บริหารโรงเรียนหรือสถานศึกษานั้น ต้องเป็นผู้รับผิดชอบ”
“พรรคไทยภักดีประเทศไทย” ขนานไปกับกระบวนการก่อตั้งพรรคการเมืองใหม่ “หมอวรงค์” โจมตีไปที่ข้อเสนอของ “ปิยบุตร แสงกนกกุล” ที่ออกมาเคลื่อนไหวยกเลิก ม. 112
“หยุดเถิดคุณปิยบุตร ที่จะมาสร้างวาทกรรมบิดเบือน ให้คนเข้าใจผิดเรื่องมาตรา 112 วันนี้สังคมไทยเขาตื่นรู้ และรู้ไปถึงเจตนาที่ไม่บริสุทธิ์ของพวกคุณทั้งประเทศแล้ว ถ้าแน่จริงพวกคุณน่าจะออกมาเล่นเองได้แล้ว ไม่ใช่เอาแต่หลบอยู่ข้างหลัง และปล่อยให้เด็กๆ ต้องไปเผชิญชะตาตามยถากรรม”
“ถ้าใครคิดว่าจะแก้ไขมาตรา 112 หรือ คิดจะล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งเป็นผู้สถาปนาแผ่นดินนี้ ให้ลองเอาหัวไปทุบกำแพงวัดพระแก้วดูว่า กำแพงพังไหม ถ้ากำแพงพังเมื่อไร ค่อยมาคิดแก้ไขมาตรา112”
“สาร” ของ “กลุ่มไทยภักดี” ได้รับการตอบสนองมากเพียงใด อาจพิจารณาได้จากรายงานของศูนย์ทนายความเพื่อสิทธิมนุษยชน
“นับตั้งแต่เริ่มมีการเผยแพร่รายชื่อผู้ถูกดำเนินคดีประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติเมื่อวันที่ 24 พ.ย. 63 มีผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและการชุมนุมทางการเมืองในข้อหาตามมาตรา 112 แล้วทั้งสิ้นอย่างน้อย 49 ราย ใน 36 คดี (นับคดีที่มีผู้ได้รับหมายเรียก แต่ยังไม่ได้เดินทางไปรับทราบข้อกล่าวหาด้วย)” อ่านละเอียดได้ที่ ศูนย์ทนายความฯ
พรรคการเมืองใหม่ที่ใกล้ถือกำเนิดอย่างเป็นทางการในเร็ววันนี้ จึงสะท้อนให้เห็นถึงกระบวนการกดปราบผู้เห็นต่างผ่านพื้นที่ที่เป็นทางการมากยิ่งขึ้น และผ่านระเบียบกฎหมายที่มีบทลงโทษชัดเจนมากยิ่งขึ้น
ในรัฐสภาจำเป็นต้องมีผู้แทนที่มีจุดยืนอย่างแข็งขันในการปกป้องสถาบันพระมหากษัตริย์ ไม่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของ ส.ว. จากการแต่งตั้งแต่ฝ่ายเดียว อย่างที่เป็นมาก่อนหน้านี้
พรรคไทยภักดีประเทศไทย จะเข้าสู่สภาฯ ได้กี่ที่นั่งในการเลือกตั้งรอบหน้า ไม่สำคัญเท่ากับในระยะเฉพาะหน้านี้ พรรคการเมืองใหม่พรรคนี้จะเป็น “ตัวแปร” สำคัญ ในการเป็น “ผู้นำ” และเสนอ “วิธี” ในการนำ “เพดาน” กลับสู่ประเทศไทยอีกครั้ง