เมื่อเวลา 10.00 น. วันที่ 28 ก.พ. 2565 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เฟซบุ๊กบุ๊กไลฟ์ภายใต้หัวข้อ #เป็นอย่างไรกันบ้างคะ เป็นเวลา 45 นาที โดยมี พงศ์เกษม สัตยาประเสริฐ อดีตโฆษกพรรคไทยรักษาชาติ เป็นผู้จัดรายการและถามคำถาม โดยก่อนเริ่มรายการได้มีการเปิดเอ็มวีเพลงของเธอ ซึ่งขับร้องโดยยิ่งลักษณ์ ทั้งนี้ยิ่งลักษณ์ เปิดเผยว่า เป็นบทเพลงที่ร้องในช่วงวันเกิดของ โทนี่ ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นเนื้อหาที่มึความหมายดี เป็นเนื้อหาความจริงใจที่อยากจะบอกประชาชน
จากนั้น ยิ่งลักษณ์ได้ระบุว่า ตนได้ติดตามโซเชียลมีเดียตลอดเวลาที่แฟนคลับได้ฝากความคิดถึงและได้รับรูปหัวใจเยอะมาก มีความรู้สึกว่าคนเราไม่ได้เจอมานาน คงอยากจะถามความรู้สึกจะเป็นนอย่างไรกันบ้าง จึงเป็นที่มาของ #เป็นอย่างไรกันบ้างคะ
ยิ่งลักษณ์ตอบคำถามกรณีที่ตนเองจากบ้านเกิดมานานหลายปีว่า จากประเทศไทยมาเกือบ 10 ปีแล้วไม่น่าเชื่อ จะบอกว่าสบายดีก็ไม่ใช่ จากบ้านเกิดแล้วว่างงาน ห่างบ้านห่างเมือง ไม่เจอญาติพี่น้องเพื่อนฝูง ก็คิดถึง แต่ต้องทำอย่างไรให้เราอยู่ได้ ตนก็จำคำสอนพี่โทนี่ เราต้องรักษาสุขภาพ ทำตัวเองให้มีความสุขเพื่อคนที่เรารัก คนเราต้องอยู่ให้ได้ แต่ใจยังรักและคิดถึงตลอดเวลา
ยิ่งลักษณ์ ระบุว่าตัวเองไม่เคยติดโรคโควิด-19 เพราะใส่หน้ากากอนามัยตลอด พร้อมขอให้คนไทยรอดพ้นจากโควิด-19 และโรคขณะนี้ก็เบาลงแล้ว เพราะมีวัคซีน โดยต่างประเทศก็ทำตัวเหมือนปกติ ถ้าหากตนเองไม่ติดก็จะเป็นคนหมู่น้อย ต้องทำใจหากติด แต่ต้องทำร่างกายให้แข็งแรง ตอนแรกตนฉีดซิโนฟาร์ม 2 เข็ม และไฟเซอร์ 2 เข็ม แต่คนที่ฉีดวัคซีนไฟเซอร์ก็ยังติดโอไมครอน แต่การฉีดวัคซีนก็ทำให้มีภูมิคุ้มกัน
ยิ่งลักษณ์ ตนติดตามข่าวสารในประเทศไทยตลอด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ ราคาข้าวของแพงขึ้น แต่รายได้เงินในกระเป๋าของประชาชนไม่ได้ขึ้น และโควิด-19 ก็ซ้ำเติม เราก็อยู่ไกลไม่รู้จะช่วยอย่างไร เพราะไม่ได้เป็นรัฐบาล อยากให้ช่วยกัน และขอร้องรัฐบาลให้ช่วยพี่น้องประชาชน
ถามว่า มีคนกระซิบอยากเป็นนายกฯ อีกหรือไม่ ยิ่งลักษณ์ บอกว่าตอนนี้เป็นสมัยใหม่ มีเด็กรุ่นใหม่แล้ว พร้อมยอมรับว่าตัวเองอายุ 50 กว่าปีแล้ว โดยนายกรัฐมนตรีคนใหม่อยู่ที่พี่น้องประชาชนอยากให้ใครมาบริหารประเทศ ประเทศมีความรู้ความสามารถมาก
"แม้ตัวมาอยู่ที่นี่แต่ใจอยู่ที่ประเทศไทยตลอดเวลา" ยิ่งลักษณ์ ย้ำ
เสียดายไฮสปีดเทรนถูกคว่ำ พลาดกระจายความเจริญ
ถามว่าหากลองจินตนาการหากยังเป็นนายกฯ และยังเป็นรัฐบาลจะยังมีนโยบายอะไรบ้างที่จะสานต่อ ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า โครงการ 2 ล้านล้านบาท รถไฟความเร็วสูงเชื่อมต่อเมือง เพื่อให้คมนาคมเดินหากันได้สะดวก เชื่อมเมืองท่องเที่ยว โลจิสติกส์ ให้ต้นทุนลดลง เชื่อมจากไทยไปสู่ภูมิภาคอาเซียน เพื่อให้ไทยเป็นศูนย์กลางภูมิภาคอาเซียนจริงๆ ตอนนั้นที่วางไว้ ก็ถือว่าน่าเสียดาย และโครงการบริหารจัดการน้ำ โดยปีที่ 3-4 จะคิดถึงวางอนาคตประเทศข้างหน้าแล้ว 2 ปีแรกคิดถึงแก้ปัญหาและหนี้สินประชาชน และวางยุทธศาสตร์แต่ละจังหวัด เพื่อกระจายความเจริญจากเมืองหลวงไปสู่ภูมิภาคต่างๆ ให้เกิดความเท่าเทียม แต่สุดท้ายก็ไม่มีโอกาสได้สานต่อ นโยบายก็ถูกยกเลิก ก็เสียดาย อย่างแท็บเล็ต พีซี มีนักศึกษาฆ่าตัวตายกลุ้มใจจากการเรียนออนไลน์ โดยแท็บเล็ตตอนนั้นจะเป็นการให้การเรียนที่นักเรียนเข้าใจง่าย ทำให้การเรียนสบาย แต่ตอนนั้นเทคโนโลยีจะไปไม่ถึงเท่าวันนี้
ต้องถาม 'ประยุทธ์' ยังคุยกันได้หรือไม่ รับเป็นนายกฯ หญิงต้องทำงานหนัก-อดทน
ถามว่า พล.อ.ประยุทธ์ มายืนหลังท่าน สมัยเป็นรมว.กลาโหม การทำงานนายกฯ หญิงมีอุปสรรคหรือไม่ ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า นายกฯ แม้จะเป็นผู้หญิง ผู้ชายก็ยากอยู่แล้ว ตอนนั้นมาบริหารท่ามกลางขัดแย้ง มีช่องว่างคนรวยและคนจน ซึ่งตนเองต้องมาสานต่อรวมถึงปัญหาหนี้สิน และปัญหาเศรษฐกิจก็ยากอยู่แล้ว และทำอย่างไรให้ประเทศไทยเป็นผู้นำมาอาเซียน เป็นผู้หญิงก็คาดหวังเยอะ และการเป็นผู้หญิงมีการมองว่าจะทำไม่ได้ มีการมองว่าเพศหญิงทำงานไม่ได้ เราต้องอดทนและทำงานหนักมากกว่า 2 เท่า ความเป็นผู้หญิงไม่ได้ทำให้งานลดน้อยถอยลงไป
ส่วนการเป็น รมว.กลาโหม เป็นงานที่ท้าทาย ทำงานกับเหล่าทัพ ตอนนั้นก็หนักใจ ไม่มีใครไม่หนักใจ สายทหารจะเป็นอีกอย่าง ตอนนั้นต้องใช้ข้อกฎหมายในการสั่งงาน เพราะเขาอาจมองไม่มีอำนาจ เขาต้องทำในหน้าที่ การสั่งเหล่าทัพ ต้องไปนั่งประชุมสภากลาโหม วางนโยบาย แต่ถ้าโทรไปบอกไม่ใช่เรื่องงานก็คงไม่ปฏิบัติตาม
ถามว่า ถ้าเจอหน้า พล.อ.ประยุทธ์ ยังคุยกันได้หรือไม่ ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ต้องถามว่า พล.อ.ประยุทธ์เจอหน้ายิ่งลักษณ์ยังคุยกันได้หรือเปล่า ถามว่า ถามเรื่องนี้ พล.อ.ประยุทธ์ อาจฉุนเฉียว ยิ่งลักษณ์ บอกว่าเปลี่ยนเรื่องก็ได้นะ
ย้ำ 'รบ.ยิ่งลักษณ์' เริ่มต้นยูเซ็ป ต่อยอด 30 บาท-เจ็บป่วยฉุกเฉินรักษาได้ทุกที่
ถามว่า สิทธิการรักษาผู้ป่วยฉุกเฉินวิกฤติที่สามารถเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาลทุกแห่งที่ใกล้ หรือ ยูเซ็ป (UCEP) การบริการแพทย์ฉุกเฉินริเริ่มในสมัยของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ โดยยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า คำถามนี้คงเป็นคำถามของแฟนคลับด้วย จริงๆ โครงการนี้เป็นโครงการที่ตนเห็นก่อนมาเป็นนายกรัฐมนตรีก่อนเข้ามาประกาศรับใช้พี่น้องประชาชนได้เยี่ยมเยียนชาวบ้านขณะเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทย เพราะเห็นกรณีปัญหาประชาชนมีกรณีฉุกเฉินไม่สามารถจะใช้ประกันหรือเบิกจ่ายได้ บางทีไปฉุกเฉินแล้วต้องรอประกันหรือรอ 30บาทรักษาทุกโรคอาจเสียชีวิตได้ทำให้ตนติดใจ จึงขอต่อยอดจาก 30 บาทรักษาทุกโรค
ยิ่งลักษณ์ระบุว่า เรื่องวิกฤตต่างๆใครจะดูแล เมื่อเป็นรัฐบาลก็ได้บูรณาการให้มีการบริการแพทย์ฉุกเฉิน ในกรณีป่วยฉุกเฉินภายใน 72 ชั่วโมงรักษาได้ทุกโรงพยาบาล เมื่อเปิดตรงนี้โรงพยาบาลเอกชนต้องรับรักษาได้ แล้วถึงค่อยมาเคลียร์ค่าใช้จ่ายหรือส่งต่อไปยังโรงพยาบาลที่มีประกันสุขภาพหรือ 30 บาท เพื่อช่วยคนที่มีอุบัติเหตุและเสียชีวิตให้รอดก่อน จากนั้นเราก็สามารถช่วยเหลือผู้คนได้ ครั้งหนึ่งมีคนเขียนในเฟซบุ๊กมาว่า แม่เขาเกิดอุบัติเหตุต้องเข้าโรงพยาบาลเห็นค่ารักษาสูงแต่ก็เบิกค่ารักษาตรงนี้ได้ ทำให้เขาสบายใจและแม่ก็รอดชีวิตกลับมา จึงเป็นที่มาของโครงการนี้
สอนรัฐบาลขึ้นค่าแรงต้องทำให้ประเทศมีรายได้ก่อน
เมื่อถามถึงสมัยที่ท่านประกาศนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ และเบี้ยผู้สูงอายุ เมื่อตอนเลือกตั้งปี 2554 ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า รัฐบาลต้องดูแล ค่าใช้จ่ายวันนี้จะทำอย่างไรให้ผู้ใช้แรงงานเพียงพอกับค่ายังชีพ ดังนั้น รัฐต้องดูว่าเงินเฟ้อและค่าครองชีพจะเพิ่มค่าแรงได้อย่างไร และต้องสร้างรายได้ให้กับประเทศทุกคน ถ้าทำให้ประเศมีรายได้ นักท่องเที่ยวเข้ามา นักธุรกิจจะขึ้นค่าแรงได้ ดังนั้น จะขึ้นค่าแรงอย่างเดียวไม่ได้
ถามว่า น้องไปป์-ศุภเสกข์ อมรฉัตร บุตรชายเรียนโตเป็นหนุ่ม ยิ่งลักษณ์ ระบุว่า ตอนเป็นนายกฯ น้องไปป์ อายุ 9 ขวบ เรียนที่มหาวิทยาลัยอิมพีเรียลคอลเลจ ลอนดอน เป็นสาขาวิศวะ เครื่องยนต์ เทคโนโลยีสารสนเทศ มาบูรณาการร่วมกัน ในอนาคตจะประยุกต์ได้กับการสร้างหุ่นยนต์และเอไอ และบุตรชายเป็นคนเลือกเรียนสาขานี้เอง
ชี้ผู้ใหญ่ควรฟังเด็กรุ่นใหม่ ให้พื้นทีี่แลกเปลี่ยนความเห็น
ยิ่งลักษณ์ ยังระบุถึงคำถามที่ว่าคนรุ่นใหม่เริ่มสนใจการเมืองโดยเฉพาะการชุมนุมมากขึ้นว่า ต้องถามว่าสนใจอยากเป็นนักการเมืองและสนใจการเมืองต่างกัน แต่ถ้าสนใจการเมืองเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะเยาวชนคนรุ่นใหม่อยากเห็นบ้านเมืองพัฒนาไปทางที่ดี เพื่ออนาคตของคนรุ่นใหม่ และผู้ใหญ่ควรรับฟัง แต่จะต่างกับคนรุ่นเก่า เพราะคนรุ่นใหม่ต้องการเหตุผลและต้องการความเข้าใจ เวลามีลูกก็ต้องอธิบายและใจเย็นๆ ในการอธิบาย สิ่งนี้ผู้ใหญ่ต้องให้โอกาสแลกเปลี่ยนทำความเข้าใจกับเยาวชน เพื่อให้เยาวชนได้แสดงความเห็นเปิดพื้นที่ให้เยาวชน
เผยเป็นนายกฯ ต้องใจเย็น เคยระบาดความเครียดกับคนรอบข้าง
ถามว่า มีคนถามว่าท่านด่าคนเป็นหรือไม่ เพราะท่านเป็นคนใจเย็น ยิ่งลักษณ์ ยอมรับว่ามีโกรธบ้าง แต่ก็ส่วนใหญ่จะระบายคนรอบข้าง และการทำงานคนหมู่มาก เป็นนายกฯ ต้องใจเย็น และต้องคุยกับคนรอบข้างระบายความเครียดกับตนเองให้ได้
ถามว่าเป็นนายกฯ ต้องสร้างภูมิคุ้มกัน ยิ่งลักษณ์ บอกว่า บางทีเปิดหนังสือพิมพ์มาไม่อยากโดนด่า แต่ตรงนี้คือฟีดแบ็ก
ขอคนไทยรักษาสุขภาพ ฝนตกาทงไหนก็หนาวถึง 'ยิ่งลักษณ์-โทนี่'
ในช่วงท้ายถามว่ามีอะไรอยากฝากถึงพี่น้องคนไทย ยิ่งลักษณ์ ขอบคุณแฟนเพจทุกคนที่เข้ามาฟัง สิ่งที่อยากจะบอกวันนี้ แม้ไม่ได้อยู่บ้านเกิด แต่วันนี้ได้หายคิดถึงต้องคิดถึงอยากรู้เรื่องราว ถ้าบ้านเราทุกข์ยากลำบาก คนอยู่ทางนี้พี่โทนี่ก็รู้สึกสะเทือนใจและเป็นห่วง
ยิ่งลักษณ์ ย้ำว่า "อยากจะบอกทุกคนไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ฝนตกทางไหนก็หนาวถึงคนทางนี้เหมือนกัน แม้ว่าจะทำอะไรไม่ได้ แต่กำลังใจอยู่เคียงข้างจะไม่มีวันลืม แต่วันนี้คงไม่มีอะไรจะบอกว่ามีแต่ความจริงใจอยู่เคียงข้าง อะไรทำได้เพื่อประชาชน ดิฉันยินดี ขอให้พี่น้องประชาชนทุกคนอดทนรักษาสุขภาพให้ดี แล้ววันหนึ่งความเข้มแข็งจะประสบความสำเร็จ วันหนึ่งประเทศไทยจะได้ลืมตาอ้าปาก ประชาชนจะมีรายได้ที่ดี ดิฉันขอเป็นกำลังใจให้"
ถามว่า อนาคตอันใกล้จะได้มีโอกาสพูดคุยผ่านเฟซบุ๊กไลฟ์อีกหรือไม่ ยิ่งลักษณ์บอกว่าแล้วแต่โอกาสความเหมาะสม มาวันนี้ด้วยความคิดถึงไม่รู้จะคุยยังไง ก็เล่าด้วยวิธีการอย่างนี้ นานหลายปีไม่ได้เห็นหน้ากัน วันไหนโอกาสเหมาะสม ประชาชนอยากให้คุยกันอีกก็จัดเฟซบุ๊กไลฟ์กันได้อีก