ไม่พบผลการค้นหา
‘วิษณุ’ ยัน 'ประยุทธ์-ประวิตร' บอกไม่งัดอัยการศึกคุมม็อบ ชี้หากชุมนุมที่สำนักงานทรัพย์สินพระมหากษัตริย์จะมีความอ่อนไหว ยังไม่ถึงขั้นประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง วอนม็อบสองฝ่ายอยู่ห่างกัน

วิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ให้ ถึงกรณีคณะราษฎร 2563 เปลี่ยนสถานที่นัดชุมนุมไปเป็นหน้าสำนักงานใหญ่ธนาคารไทยพานิชย์ แยกรัชโยธิน แทน จากเดิมที่เป็นสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ ว่า ตนไม่ทราบเรื่องนี้ 

ส่วนกรณีการที่กลุ่มผู้ชุมนุมดังกล่าวไปชุมนุมกันที่บริเวณพื้นที่เศรษฐกิจของเอกชน จะเข้าข่ายประกาศใช้กฎอัยการศึกได้หรือไม่ วิษณุ กล่าวว่า ขอให้เลิกพูดเรื่องกฎอัยการศึก เพราะทั้ง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และพล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ก็พูดแล้วว่าจะไม่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึก ทั้งนี้ หากผู้ชุมนุมย้ายจากการชุมนุมที่หน้าสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์แล้ว ความอ่อนไหวก็ไม่ต่างจากการชุมนุมในวันอื่นๆ ที่ได้มีการชุมนุมกันไปก่อนหน้านี้ แต่ถ้ายังยืนยันชุมนุมที่หน้าสำนักทรัพย์สินพระมหากษัตริย์ก็จะมีความอ่อนไหวมากกว่าทุกครั้ง 

ส่วนการที่ผู้ชุมนุมย้ายกลับพื้นที่ดังกล่าวออกไปแล้ว แสดงว่าสามารถใช้กฎหมายปกติในการควบคุมสถานการณ์ได้ใช่หรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า กฎหมายอะไรก็ได้ที่มีอยู่นำมาใช้ได้ โดยที่ไม่ใช้กฎอัยการศึก ก็เอามาใช้ได้ และขอย้ำว่ารัฐบาลไม่เคยคิดเรื่องการใช้กฎอัยการศึก ผู้สื่อข่าวไปได้ข่าวจากไหนว่ามีการคิดถึงเรื่องนี้ ทั้งนี้ การมีกฎอัยการศึกไม่ได้แตกต่าง จากการที่ไม่มีในเวลานี้ เพียงแต่การประกาศกฎอัยการศึกทำให้ทหารออกมามีอำนาจในการควบคุมสถานการณ์ ที่จริงแล้วเมื่อมีการประกาศ พ.ร.ก.การบริหารสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 แล้ว ก็จะมีการตั้งให้ทหารเป็นหัวหน้าผู้อำนวยการเจ้าพนักงานควบคุมสถาการณ์ แต่ในสถานการณ์ฉุกเฉินครั้งนี้เปลี่ยนให้ตำรวจเป็นหัวหน้าผู้อำนวยการเจ้าพนักงานควบคุมสถานการณ์ ซึ่งมันก็ไม่ได้แตกต่างอะไร สำหรับการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน จะเบากว่าการประกาศใช้กฎอัยการศึก แต่อำนาจนั้นไม่ได้แตกต่างกันเท่าไหร่ แต่ในส่วนของผู้รักษาการจะแตกต่างกัน

ถามว่า ขณะนี้ยังจำเป็นจะต้องกลับมาประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีร้ายแรง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครอีกครั้งหรือไม่ วิษณุ กล่าวว่า ไม่ แต่ถ้าจะประกาศก็ไม่มีปัญหาอะไร ทั้งนี้อยู่ที่หน่วยงานด้านความมั่นคงที่จะเป็นผู้ประเมินว่าสถานการณ์มีความร้ายแรงเพียงใด จึงจะต้องกลับมาประกาศใช้ สถานการณ์ฉุกเฉินที่มีร้ายแรง ในพื้นที่กรุงเทพมหานครอีกครั้ง ซึ่งหน่วยงานด้านความมั่นคงจะต้องเป็นผู้ประเมินงานด้านการข่าว ว่า การชุมนุมนั้นจะมีความร้ายแรงมากแค่ไหน โดยพิจารณาจาก 3 องค์ประกอบคือ 1. ความสำคัญของสถานที่ อาทิ เขตพระบรมมหาราชวัง เขตพระราชฐาน สถานที่ประทับ 2. ดูจากผู้ชุมนุม ว่ามีอาวุธหรือมีเครื่องมืออะไรบ้าง 3. ดูเรื่องความเสี่ยงที่อาจจะมีการเผชิญหน้าและปะทะกัน

และถ้าฝ่ายความมั่นคงเห็นว่าจะต้องประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรง จะต้องเสนอขอความเห็นชอบจากคณะรัฐมนตรี(ครม.) หรือถ้าเห็นว่ามีความจำเป็นเร่งด่วนที่ต้องประกาศในทันทีก็สามารถทำได้ แล้วจึงนำมาเสนอเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรีตามขั้นตอน ซึ่งจะเห็นได้จากกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมขวางขบวนเสด็จ ที่เกิดขึ้นในช่วงเย็นแต่ ผู้ชุมนุมยังปักหลักชุมนุมอยู่ที่หน้าทำเนียบรัฐบาลจึงมีการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ร้ายแรงในช่วงตี4 ของอีกวันหนึ่ง ซึ่งในครั้งนั้นหน่วยงานด้านความมั่นคงประเมินว่าผู้ชุมนุมยังปักหลัก และอยู่ในพื้นที่ใกล้เขตพระราชฐาน หากมีการเคลื่อนกลุ่มผู้ชุมนุมก็อาจจะกระทบต่อทำเนียบรัฐบาล และได้ประเมินความเสี่ยงของกลุ่มผู้ชุมนุมแล้วจึงตัดสินใจประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงดังกล่าว 

ส่วนขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ออกหมายเรียกแกนนำกลุ่มผู้ชุมนุม หลายรายด้วย มาตรา 112 คิดว่าจะทำให้สถานการณ์ดีขึ้นหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตนไม่ทราบ ไม่คิดอะไร เป็นเรื่องที่เจ้าหน้าที่เขาคิดของเขา 

และหากกลุ่มผู้ชุมนุมประกาศชุมนุมต่อเนื่อง 5 วัน โดยจะระบุสถานที่เวลาที่ชัดเจนอีกครั้ง จะมีผลทำให้รัฐบาลประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่ร้ายแรงหรือไม่ วิษณุ กล่าวว่า การชุมนุมจะมีกี่วันนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ แต่อยู่ที่ว่าจะมีระดับความรุนแรงหรือไม่ และต้องพิจารณาจาก 3 ประการหลักที่ได้กล่าวไปแล้ว อย่างไรก็ตามหน่วยงานด้านความมั่นคงทั้งหมดต้องเตรียมความพร้อมไว้ตลอดเวลาอยู่แล้ว ขณะเดียวกันก็ต้องดูความเสี่ยงของมวลชนอีกกลุ่มหนึ่งด้วย ซึ่งรัฐบาลพยายามไม่ให้เกิดการเผชิญหน้ากัน โดยขอร้องให้อยู่ห่างกันซึ่งถ้าทั้งสองฝ่ายอยู่ห่างกันได้จะทำให้สถานการณ์เบาลงไปมาก 

ทั้งนี้หากกลุ่มผู้ชุมนุม ประกาศรวมตัวชุมนุมกันที่ใดแล้วมักจะมีอีกกลุ่มหนึ่ง ประกาศไปชุมนุมพื้นที่ใกล้เคียงด้วยเช่นกัน จะเกิดความสุ่มเสี่ยงหรือไม่ นายวิษณุ กล่าวว่า มักจะเกิดแบบนี้ขึ้นอยู่แล้ว เป็นเรื่องธรรมดา แต่ในอันที่จริงแล้วถ้าต่างคนต่างมา ต่างคนต่างอยู่ ก็ไม่มีอะไร เพียงแต่ล่าสุดเกิดเหตุการณ์สองฝ่ายปะทะกันที่บริเวณหน้ารัฐสภา

ส่วนกรณีที่กลุ่มมวลชนเสื้อเหลืองประกาศว่าจะรอกลุ่มราษฎรอยู่ที่หน้าแท่งแบริเออร์ เพื่ออธิบายข้อเท็จจริง ข้อสงสัยให้ทราบ แบบนี้ถือเป็นการยั่วยุหรือไม่ รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ถ้าชี้แจงเป็นก็ไม่ยั่วยุ แต่ถ้าชี้แจงไม่เป็นก็ถือเป็นการยั่วยุ ถ้าใช้ปิยะวาจาชี้แจงด้วยเหตุและผลก็ไม่ใช่การยั่วยุ การจะยั่วยุหรือไม่อยู่ที่พฤติกรรม บางทีไม่ต้องพูดอะไรเพียงแค่แลบลิ้นใส่ก็ยั่วยุแล้ว 

โดย วิษณุ ยังระบุอีกว่า นายกรัฐมนตรีไม่ได้กำชับเรื่องมือที่สาม แต่ต้องระวังอย่าให้มันเกิด ทุกครั้งที่มีการชุมนุมมักจะมีมือที่ หนึ่ง สอง สาม สี่ ห้า