เมื่อไม่นานมานี้ 'พรรคเพื่อไทย' ได้ประกาศสู้ศึกเลือกตั้งใหญ่ด้วยการตั้งคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ นำโดย นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช เป็นประธาน พร้อม 4 กุนซือมือเศรษฐกิจ พันศักดิ์ วิญญรัตน์ , เศรษฐา ทวีสิน, ศุภวุฒิ สายเชื้อ และ ปานปรีย์ พหิทธานุกร รวมไปถึงทีมเศรษฐกิจเดิมของพรรค ผสมผสานคนรุ่นใหม่ ร่วมกันร่างนโยบายด้านเศรษฐกิจภายใต้ตั้งเป้าหมาย “แลนด์สไลด์”
นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช ประธานคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจ ได้ให้สัมภาษณ์กับ “ฐานเศรษฐกิจ” พร้อมประกาศนโยบายก๊อกแรก ฟื้นเศรษฐกิจ เพิ่มรายได้ แก้ปัญหาปากท้อง และวางรากฐานรองรับอนาคตที่กำลังเปลี่ยนโฉมประเทศไปจากเดิม
นพ.พรหมินทร์ กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยเข้าใจปัญหาทุกอย่างที่กำลังเกิดขึ้นกับประเทศไทย และพร้อมปลดล็อกทุกเรื่องเพื่อให้ประเทศไทยดีขึ้นกว่าเดิม ตามนโยบายพูดแล้วทำ อย่างที่เคยทำมาให้เห็นแล้วในอดีต ซึ่งนโยบายต่างๆ แม้จะทยอยประกาศออกมาบ้าง แต่ก็ยังเก็บไม้เด็ดเอาไว้อีกหลายเรื่อง แต่เบื้องต้นนโยบายชุดแรกนั้นจะเน้นการแก้ปัญหาเศรษฐกิจไทย โดยเฉพาะเรื่องการจัดการ เพื่อพาประเทศให้รอดพ้นท่ามกลางภาวะสงครามที่เกิดขึ้นในขณะนี้
“หน้าที่ของคณะกรรมการชุดนี้ ต้องไปรับทราบสภาพต่างๆ ที่เกิดขึ้นทั่วโลก และไประดมเอาช่องทางต่างๆ มาทำนโยบายฟื้นเศรษฐกิจสำคัญของประเทศ โดยพรรคเพื่อไทยเป็นพรรคแรกๆ ที่พูดถึงเรื่องการสร้างรายได้ใหม่ที่ไม่ใช่รายได้เดิมๆ เพื่อแก้หนี้สิน รวมทั้งการหาทางฝ่าวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้นเหมือนที่เคยผ่านวิกฤตหลายอย่างมาก่อนหน้านี้”
สำหรับสิ่งแรกในนโยบายระยะเร่งด่วน หรือ Quick Win กับการพลิกฟื้นเศรษฐกิจของไทยที่จะผลักดันออกมา นั่นคือ การส่งเสริมการท่องเที่ยว เพื่อดึงรายได้เข้าประเทศและกระจายรายได้ลงไปยังชาวบ้านได้อย่างรวดเร็ว ผ่านการปรับปรุงการอำนวยความสะดวกนักท่องเที่ยวตั้งแต่ต้นทาง โดยเฉพาะการแก้ปัญหาการติดขัดในเรื่องการตรวจคนเข้าเมือง เพื่อเปิดประตูการท่องเที่ยวให้ดีและง่ายกว่าเดิม ซึ่งเรื่องทั้งหมดแก้ไขได้ด้วยการจัดการที่เป็นระบบ รวมทั้งการผ่อนปรนเรื่องของวีซ่าในประเทศเป้าหมายหลักด้านการท่องเที่ยว
เช่นเดียวกับการสร้างมหกรรมการท่องเที่ยวระดับโลก ดึงดูดนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกให้เดินทางมาเที่ยวในประเทศไทยเหมือนที่เคยทำมาในอดีตแล้วประสบความสำเร็จ เช่น เทศกาลสงกรานต์ ลอยกระทง หรือกรุงเทพเมืองแฟชั่น และผลักดันการท่องเที่ยวเชิงอาหารที่ประเทศไทยมีชื่อเสียงด้านอาหารไทย และสตรีทฟู้ด โดยตั้งเป้าหมายรายได้จากการท่องเที่ยวจะเพิ่มขึ้นเป็น 3 ล้านล้านบาท ภายในระยะเวลา 4 ปีหากได้เป็นรัฐบาล
ด้านการลงทุนแม้ว่าในช่วงที่ผ่านมารัฐบาลจะผลักดันเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก หรือ EEC ออกมาแล้ว แต่พรรคเพื่อไทยเห็นว่ายังไม่ประสบความสำเร็จ เพราะเน้นเรื่องการพัฒนาที่ดินและขายที่ดินราคาแพงว่าที่เป็นจริง ซึ่งนโยบายหลักด้านการลงทุน พรรคจะผลักดันเขตธุรกิจใหม่ หรือ New Business Zone นำร่อง 4 แห่ง คือ กรุงเทพฯ เชียงใหม่ ขอนแก่น และหาดใหญ่
พร้อมเร่งแก้กฎหมายที่เป็นอุปสรรคต่อการลงทุนทั้งหมด โดยเฉพาะการปรับปรุงกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) ใหม่ ให้เป็นบีโอไอพลัส เช่น การเป็นวันสตอปเซอร์วิสที่แท้จริง ไม่ใช่เป็นช่องทางที่อาจมีการจ่ายใต้โต๊ะ รวมทั้งกฎหมายที่เปิดโอกาสเชิญชวนนักลงทุนเข้ามาได้มากขึ้น
“เป้าหมายที่ตั้งใจไว้คือนำร่อง 4 จังหวัด ที่มีมหาวิทยาลัย และสนามบินอยู่ในพื้นที่ เพราะมีโครงสร้างพื้นฐานเพียงพอแบบไม่ต้องไปสร้างใหม่ โดยจะทดลองทำก่อนถ้าดีค่อยขยายออกไปได้ เหมือนกับโมเดลที่ทำในประเทศจีนแล้วสำเร็จ ซึ่งถ้าเป็นไปตามแผนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในพื้นที่ จนเป็นพื้นที่เศรษฐกิจดิจิทัลและนวัตกรรมของประเทศ โดยส่งเสริมสตาร์ทอัพ และเอสเอ็มอีในพื้นที่ ให้เกิดการพัฒนาทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก”
ส่วนนโยบายด้านเกษตร ตามแผนหากได้นั่งเป็นรัฐบาล จะผลักดันรายได้เกษตรกรเพิ่มขึ้นให้ได้อีก 3 เท่า เพราะปัจจุบัน GDP ภาคเกษตรต่ำมาก แค่ 8% หรือคิดเป็นรายได้แค่ 1.4 ล้านล้านบาทเท่านั้น สวนทางกับจำนวนเกษตรกรที่มีมากถึง 40% เมื่อเทียบกับคนทั้งประเทศ โดยทั้งหมดใช้พื้นที่ของประเทศถึง 43% แถมส่วนใหญ่ยังเป็นหนี้สินเฉลี่ยถึง 2.6 แสนบาทต่อครัวเรือน ทำให้รัฐบาลต้องอัดฉีดเงินเข้าไปช่วยเหลือถึงปีละไม่ต่ำกว่า 1.5-1.6 แสนล้านบาท
สำหรับนโยบายสำคัญที่ตั้งไว้ตอนนี้คือ ตลาดนำ-นวัตกรรมเสริม คือผลิตมาแล้วต้องรู้ว่าขายให้ใคร หรือการผลิตสินค้าออกมาให้ตรงความต้องการของตลาด ผ่านการปรับปรุงการผลิตด้วยวิธีคิดเชิงธุรกิจ นำเทคโนโลยีเกษตรแม่นยำจากปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI มาปรับใช้ให้ผลผลิตออกมามีคุณภาพดี และช่วยลดต้นทุนการผลิต ก่อนจะสร้างรายได้ให้เกษตรกรเพิ่มขึ้น 3 เท่าสร้างมูลค่ากว่า 2.8 ล้านล้านบาท
อย่างไรก็ดีในนโยบายด้านการเกษตรนั้น พรรคเพื่อไทยยังมีนโยบายอื่น ๆ อีกโดยเฉพาะเรื่องการดูแลชาวนาผู้ปลูกข้าวรูปแบบใหม่ ซึ่งถือเป็นไม้เด็ดในการหาเสียงเลือกตั้ง โดยในอีกไม่นานนี้จะประกาศออกมาอีกครั้ง เบื้องต้นจะเป็นการสร้างหลักประกันเพื่อไม่ให้ชาวนาก่อหนี้เพิ่ม
ส่วนสุดท้าย นั่นคือ การสร้างรายได้ครัวเรือนผ่านนโยบาย หนึ่งครอบครัว หนึ่งศักยภาพซอฟต์เพาเวอร์ (Soft Power) ทั้งด้านอาหารไทย ดนตรี และกีฬา ตั้งเป้าหมายคัดตัวแทน 20 ล้านคน จาก 20 ล้านครัวเรือน โดยจะสร้างงาน 20 ล้านตำแหน่ง สร้างรายได้เฉลี่ยได้ถึง 200,000 บาทต่อครัวเรือนต่อปี ผ่านการสนับสนุนทุนการศึกษาไปฝึกอบรมทักษะระดับโลกต่อในต่างประเทศ
อย่างไรก็ตาม การดำเนินนโยบายทั้งหมดนี้ จะพลิกฟื้นประเทศไทย เพิ่มรายได้ประชาชน พ่วงกับรายได้ขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือนปริญญาตรี 25,000 บาท โดยรับประกันว่า ประเทศไทยจะมี GDP เติบโตไม่ต่ำกว่า 5% ต่อปี