คณะผู้พิพากษาศาลฎีกาของสเปนมีมติเอกฉันท์ ตัดสินให้รัฐบาลสเปนชุดปัจจุบัน ดำเนินการย้ายร่างของ 'จอมพลฟรานซิสโก ฟรังโก' เผด็จการผู้ปกครองสเปนยาวนานเกือบ 40 ปี ให้พ้นจากอนุสรณ์สถานแห่งชาติ (Valley of the Fallen) ซึ่งอยู่ห่างจากกรุงมาดริดไปประมาณ 50 กิโลเมตร
คำตัดสินดังกล่าวเป็นการรับฟังคำร้องของครอบครัวเหยื่อผู้เสียชีวิตอย่างไม่เป็นธรรมในช่วงที่จอมพลฟรังโกปกครองประเทศ ซึ่งผู้ร้องเรียนเหล่านี้ต้องการให้ชำระประวัติศาสตร์ และเชื่อว่าเผด็จการไม่ควรถูกฝังที่อนุสรณ์สถานแห่งชาติ พร้อมเสนอให้นำร่างของเขาไปฝังที่สุสานของครอบครัวแทน
หลังจากศาลฎีกามีคำตัดสินในวันที่ 24 กันยายนที่ผ่านมา ทนายที่เป็นตัวแทนทายาทของจอมพลฟรังโกก็ประกาศว่าพวกเขาจะไปยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญสเปน และศาลสิทธิมนุษยชนของสหภาพยุโรป หรืออียู เพื่อคัดค้านคำตัดสินของศาลฎีกาสเปน เพราะเชื่อว่าคำตัดสินดังกล่าวขัดต่อเนื้อหาในรัฐธรรมนูญของสเปนและกฎหมายของอียูที่เกี่ยวข้องกับสิทธิและเสรีภาพ
ส่วนนายเปโดร ซานเชซ นายกรัฐมนตรีสเปนคนปัจจุบัน ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้สนับสนุนการย้ายที่ฝังศพจอมพลฟรังโก ออกมาประกาศชัยชนะหลังจากศาลฎีกามีคำตัดสินเข้าข้างทายาทของผู้ที่ตกเป็นเหยื่อของจอมพลฟรังโก ทำให้เขาถูกพรรคฝ่ายค้านที่มีแนวคิดชาตินิยมและอนุรักษนิยมโจมตีว่าทำตัวไม่เหมาะสมกับความเป็นผู้นำ ปลุกกระแสความเกลียดชังในสังคมเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง แต่ครอบครัวของผู้ตกเป็นเหยื่อในอดีตมองว่า การผลักดันของนายกฯ ซานเชซเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว
ก่อนหน้านี้ทายาทของจอมพลฟรังโกเคยยื่นเรื่องคัดค้านการย้ายที่ฝังศพกับศาลฎีกา โดยอ้างว่าการเคลื่อนย้ายศพซึ่งถูกเก็บไว้ในสุสานชั้นใต้ดินเป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบต่อร่างของนายพลฟรังโก ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญทางประวัติศาสตร์คนหนึ่งของสเปน
ประชาชนสเปนบางส่วนก็ไม่เห็นด้วยกับย้ายที่ฝังศพ เพราะเห็นว่าควรจะให้เกียรติกับผู้ที่ล่วงลับไปแล้ว แต่ก็ไม่ได้คัดค้านการชำระประวัติศาสตร์ เนื่องจากคนส่วนใหญ่มองว่าการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุในอดีตควรถูกไต่สวนและบันทึกข้อเท็จจริงเอาไว้เพื่อเป็นหลักฐานโดยไม่ถูกบิดเบือนหรือถูกกดดันจากอำนาจใดๆ
ทั้งนี้ จอมพลฟรานซิสโก ฟรังโก เป็นเผด็จการที่ปกครองสเปนช่วงปี 2479 จนถึงปี 2518 โดยเขาก้าวสู่อำนาจหลังจากเป็นผู้นำกองกำลังกบฎต่อต้านอำนาจของรัฐบาลสเปนในขณะนั้น เป็นชนวนให้สเปนเกิดสงครามกลางเมืองอยู่นาน 3 ปี และจอมพลฟรังโกสามารถยึดครองอำนาจได้อย่างเบ็ดเสร็จในเวลาต่อมา ทั้งยังปกครองประเทศด้วยระบอบเผด็จการชาตินิยมตลอดระยะเวลา 39 ปี จนกระทั่งถึงแก่อสัญกรรมในวันที่ 20 พฤศจิกายน 2518
ที่มา: El Pais/ The Guardian/