ไม่พบผลการค้นหา
“คำถามปัญญาอ่อนหรือคำถามสิ้นคิด” เป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ  แต่เป็นยุทธวิธีโฆษณาชวนเชื่อ โดยใช้จุดอ่อนที่ประชาชนกลัว คือ ความวุ่นวายในบ้านเมือง”

วัฒนา เมืองสุข เป็นนักเขียนหนังสือที่คม ชูประเด็นได้แปลก เช่นเมื่อวันที่ 11 พ.ย.2560 เขียนโพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวชื่อบัญชี Watana Muangsook จำแนกยุคสมัยแห่งการปกครองระบอบเผด็จการในไทย ก็คมอีก

ปัจจัยการดำรงอยู่ของเผด็จการ คือ ความกลัวของประชาชน  เผด็จการทุกยุคจึงใช้ความกลัวของประชาชนเป็นเงื่อนไขการเข้าหรืออยู่ในอำนาจ เช่น  

เผด็จการยุคสฤษดิ์และถนอม สร้างความกลัวจากผีคอมมิวนิสต์

ยุคสุนทรและสุจินดา อ้างการคอร์รัปชั่นด้วยวลีบุฟเฟต์คาบิเน็ต  

ยุคสนธิ สร้างผีทักษิณ คอร์รัปชั่น และการล่วงเกินสถาบัน

จนมาถึงยุคปัจจุบันสร้างค่านิยมคนดีมาปราบโกงและทำให้บ้านเมืองสงบ

ดังนั้น คำถามที่หลายคนเรียกว่า “คำถามปัญญาอ่อนหรือคำถามสิ้นคิด” ที่ถูกตั้งขึ้นมาในขณะที่ความนิยมของรัฐบาลและตัวพลเอกประยุทธ์ตกต่ำ จึงเป็นคำถามที่ไม่ต้องการคำตอบ  แต่เป็นยุทธวิธีโฆษณาชวนเชื่อ (IO : Information Operation) โดยใช้จุดอ่อนที่ประชาชนกลัว คือ ความวุ่นวายในบ้านเมือง เพื่อหวังผลการสืบทอดอำนาจเผด็จการต่อไป  เชื่อมโยงประชาธิปไตยและการเลือกตั้งเข้ากับความขัดแย้งและความรุนแรง

ตั้งใจลดทอนความน่าเชื่อถือของตัวแทนประชาชน และรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง สร้างภาพว่ารัฐบาล คสช. ทำให้ประเทศสงบและมีธรรมาภิบาล

ผมขอปรบมือให้ครับท่านรัฐมนตรีวัฒนา ผมก็ได้ติดตามการแสดงความคิดเห็นของผู้คนมากมายในสังคมไทย ส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นวิเคราะห์กันว่า คำถาม 6 ข้อถามเพื่ออะไร เป็นการโยนหินถามทางเพื่อตั้งพรรคการเมืองของทหารรึไม่ ซึ่งไม่ต้องถามหรอบครับ ตั้งแน่นอน และว่ากันตามจริง “พรรควุฒิสมาชิก 250 คน” จะเป็นพรรคการเมืองที่ใหญ่และเข้มแข็งมากอยู่แล้ว ก็หา ส.ส. หรือสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่มาจาการไปลงสมัครรับเลือกตั้งให้ชาวบ้านกาคะแนน มาให้ได้อีก 126 คน ก็โหวตท่านเป็น “ นายกรัฐมนตรีคนนอก” ได้แล้ว

ประเด็นถามโยนหินถามทาง ประเด็นถามเพื่ออะไร ไม่ต้องวิเคราะห์แล้วครับ ทุกอย่างแจ่มแจ้ง มาคิดกันไปข้างหน้าเถิดครับ 

เราประชาชนไทยจะอยู่กันอย่างไรต่อไป

ภายใต้รัฐบาล นายกรัฐมนตรีคนนอก ค้ำบัลลังค์ โดยพรรค 250 วุฒิสมาชิก + 126 ส.ส.เลือกตั้ง + ยุทธศาสตร์ชาติ 20 ปี

ท่านรัฐมนตรีวัฒนา เขียนได้ถูกต้องแล้วนะครับ “ใช้จุดอ่อนที่ประชาชนกลัว คือ ความวุ่นวายในบ้านเมือง เพื่อหวังผลการสืบทอดอำนาจเผด็จการต่อไป” ผมก็อยากให้ท่านเขียนต่ออีกท่อน วิเคราะห์หาคำตอบ จะขายสินค้าประชาชนกลัวความวุ่นวายต่อไปอีกได้นานแค่ไหน เพราะของจริงขณะนี้ คนไทยกินไม่อิ่ม

เราประชาชนก็ด้วยนะครับ ประเด็นที่คนไทยทุกระดับควรนำมาถกแถลงกันในเวลานี้คือ สินค้าตัวนี้   “จุดอ่อนที่ประชาชนกลัว คือ ความวุ่นวายในบ้านเมือง” จะยังขายได้อยู่รึจะขายได้ต่อไปอีกนานเท่าไหร่

ที่ถามและชวนคนไทยถกกันในปมนีเพราะผมมั่นใจว่า “ปากท้อง” ต่างหากคือความจริง และจะเป็นตัวตัดสินที่แท้จริง แม้วันนี้คนไทยยังนิ่งอยู่  แต่ผมก็เชื่อว่าคนไทยหลายๆคนได้ยินคนรอบข้างพูดบ่นถึงภาวะทำมาหากินฝืดเคือง มันเป็นต่อเนื่องมา 3 ปีแล้ว 

ก็เห็นมีแต่ตัวเลขดัชนีต่างๆขยับขึ้นทีละจุดสองจุด และเห็นตัวเลขที่บริษัทขนาดใหญ่กอบโกยได้ ในขณะที่ “บัตรคนจน” ท่านให้เดือนละ 300 บาท ก็ขีดเส้นให้ซื้อได้เฉพาะสินค้านร้านธงฟ้า ร้านค้าอื่นไม่ได้ขายด้วย และคนที่น่าจะได้มากจริงคือ คนขายบัตรพลาสติก ที่ท่านเอามาทำบัตรคนจน กับคนขายเครื่องรูดบัตร 

ช็อปช่วยชาติ ผมไปเดินในห้างสรรพสิค้า 11 พ.ย.2560 ก็เห็นขึ้นป้ายชักชวนลึ่ม  เต็มห้างไปหมด แต่พอผมกลับบ้านที่ ตลาดสี่มุมเมือง รังสิต ไม่เห็นมีป้ายช็อปช่วยชาติ  ก็ทำให้ผมได้คิด ช็อปช่วยชาติ - คนยากคนจนได้มั่งมั๊ย เป็นการให้ชนชั้นกลางที่อยู่ในฐานภาษี

ช่างกล้า ผมขอชื่นชมครับ ท่านโฆษกรัฐบาล พลโทสรรเสริญ แก้วกำเนิด ท่านแถลงข่าวเมื่อวันเสาร์... ...เศรษฐกิจดีขึ้น

พล.ท.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า รายงานดัชนีความเชื่อมั่นทางด้านเศรษฐกิจขณะนี้มีแนวโน้มดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยผลสำรวจของมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เดือนต.ค.2560 พบว่าประชาชนมองเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 6 มีระดับความเชื่อมั่นอยู่ที่ 64.1 ส่วนความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจในอนาคตปรับตัวดีขึ้นเป็นเดือนที่ 3 อยู่ที่ระดับ 80.8 ซึ่งตัวเลขความเชื่อมั่นเกือบทั้งหมดเป็นไปทิศทางที่ดี ทั้งการใช้จ่ายของผู้บริโภค โอกาสการหางานทำ การใช้จ่ายเพื่อการท่องเที่ยว และการลงทุนทำธุรกิจของผู้ประกอบการขนาดกลางและขนาดย่อม (เอสเอ็มอี) สะท้อนว่าประชาชนเริ่มเกิดความเชื่อมั่นในการจับจ่ายใช้สอย รวมทั้งยังมีปัจจัยด้านบวกอื่นๆ มาสนับสนุน เช่น ตัวเลขการส่งออกที่ดีขึ้น โครงการบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ ดัชนีหุ้นที่ปรับตัวสูงขึ้นในรอบ 20 ปี ราคาน้ำมันขายปลีกที่ลดลง เป็นต้น ทั้งนี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ขอให้ประชาชนมั่นใจว่ารัฐบาลจะทำทุกทางให้เศรษฐกิจของประเทศดีขึ้น และลดปัญหาปากท้องให้ได้มากที่สุด โดยย้ำว่าเศรษฐกิจไทยมีพัฒนาการที่ดีขึ้น จากปี 2557 ที่ขยายตัวเพียงร้อยละ 0.8 เพิ่มเป็นร้อยละ 3.2 ในปี 2559 และร้อยละ 3.7 ในไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ โดยคาดว่าตลอดทั้งปีน่าจะขยายตัวมากกว่าร้อยละ 3.8 

ทั้งนี้นายกฯ ยืนยันว่าแม้จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี แต่นโยบายด้านเศรษฐกิจจะไม่เปลี่ยนแปลง เพราะรัฐบาลมีความชัดเจนต่อเป้าหมายในวันข้างหน้า โดยไม่หวั่นไหวต่อการวิพากษ์วิจารณ์เสียดสีใดๆ จึงขอให้ประชาชนเชื่อมั่นในการทำงานของรัฐบาล

สุดยอดเลยครับท่านโฆษกไก่อู

แม้จะมีการปรับคณะรัฐมนตรี แต่นโยบายด้านเศรษฐกิจจะไม่เปลี่ยนแปลง

รัฐบาลมีความชัดเจนต่อเป้าหมายในวันข้างหน้า โดยไม่หวั่นไหวต่อการวิพากษ์วิจารณ์เสียดสีใดๆ

ท่านโฆษกแถลงข่าวได้ดีแล้วครับ  

ชาวบ้านเขาไม่รู้สึกรู้สาอยู่แล้วกับการปรับ ครม.ที่กำลังจะมีขึ้น โดยเฉพาะงานทางด้านเศรษฐกิจ

เชิญกระเตงกันไป


ฉลามเขียว

12 พฤศจิกายน 2560

ฉลามเขียว
0Article
0Video
0Blog