ไม่พบผลการค้นหา
กรมควบคุมมลพิษ เผยปัจจุบันพื้นที่ กทม.มีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัตโนมัติ จำนวน 12 สถานี และมี 6 สถานี ติดตั้งเครื่องตรวจวัด PM2.5 ชี้มีแผนติดตามตรวจวัดสารปรอทในบรรยากาศในพื้นที่ที่มีแหล่งกำเนิด

นางสุณี ปิยะพันธุ์พงศ์ อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ (คพ.) เปิดเผยว่า จากกรณีที่ในงานเสวนา "มลพิษทางอากาศข้ามพรมแดน ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้" จัดโดย กรีนพีซ ประเทศไทย เห็นว่าภาครัฐจำเป็นต้องรายงานค่าฝุ่นละออง PM2.5 เป็นประจำทุกวัน เพื่อให้ประชาชนรับรู้สถานการณ์ และไม่ตื่นตระหนกเมื่อเกิดภาวะวิกฤติ นั้น คพ. ได้ดำเนินการติดตามตรวจสอบคุณภาพอากาศในพื้นที่กรุงเทพมหานครโดยมีสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศแบบอัตโนมัติ จำนวน 12 สถานี ปัจจุบันมี 6 สถานี ที่ติดตั้งเครื่องตรวจวัด PM2.5 ได้แก่ พญาไท, บางนา, วังทองหลาง, ริมถนนพระราม 4 , ริมถนนลาดพร้าว และ ริมถนนอินทรพิทักษ์ และได้มีการเผยแพร่ข้อมูล PM2.5 รายชั่วโมงผ่านทางเว็บไซต์ ‭aqmthai.com‬ อย่างต่อเนื่อง และในช่วงที่มีสถานการณ์ได้เพิ่มช่องทางการให้ข้อมูลทางแฟนเพจกรมควบคุมมลพิษอีกทางหนึ่ง ซึ่งประชาชน สื่อมวลชนและผู้สนใจสามารถเข้าไปติดตามข้อมูลสถานการณ์ได้ตลอดเวลา 

อธิบดีกรมควบคุมมลพิษ กล่าวว่า กรณีที่ คพ.เคยชี้แจงว่ากำลังติดตั้งเครื่องตรวจวัดค่า PM2.5 ให้ครอบคลุมทุกพื้นที่ คาดว่าจะแล้วเสร็จปี 2563 มีผู้แสดงความเห็นว่านานเกินไป ดังนั้นในระยะเร่งด่วนภาครัฐควรใช้วิธีคำนวณคร่าวๆ และในระยะยาวควรนำค่า PM2.5 มาใช้เป็นหนึ่งในดัชนีชี้วัดคุณภาพอากาศ นั้น คพ.อยู่ระหว่างปรับปรุงการคำนวณค่าดัชนีคุณภาพอากาศ โดยจะนำค่า PM2.5 มาใช้ในการคำนวณด้วย และจะมีการสื่อสารทำความเข้าใจกับประชาชนและสื่อมวลชนควบคู่กันไปกับการติดตั้งเครื่องตรวจวัด PM2.5 โดยในปี 2561 มีแผนที่จะดำเนินการติดตั้งเครื่องตรวจวัด PM2.5 เพิ่มเติมในสถานีตรวจวัดคุณภาพอากาศในพื้นที่ต่างๆ จำนวน 20 เครื่อง

สำหรับการประเมินสถานการณ์ PM2.5 อย่างคร่าวๆ อาจประเมินได้จากปริมาณฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 10 ไมครอน (PM10) ซึ่งมีการตรวจวัดทุกสถานี โดยจากผลการหาค่าความสัมพันธ์ระหว่าง PM2.5 กับ PM 10 ของประเทศไทย พบว่า PM2.5 คิดเป็นสัดส่วนเฉลี่ยร้อยละ 50 ของ PM10 ซึ่ง กรมควบคุมมลพิษได้ใช้เป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเบื้องต้นกรณีสถานีที่ไม่มีเคร��่องวัด PM2.5 สำหรับการประมวลสถานการณ์อยู่แล้ว อย่างไรก็ตามหากมีข้อมูลผลการตรวจวัดจริงจะทำให้การประเมินสถานการณ์มีความแม่นยำและถูกต้องตามหลักวิชาการ ซึ่งจะทำให้สามารถยืนยันสถานการณ์ที่เกิดขึ้นได้ต่อไป 

ส่วนข้อกังวลจากงานเสวนาดังกล่าว เรื่องสารปรอทที่เกิดจากอุตสาหกรรมเหมืองแร่ และโรงไฟฟ้าถ่านหิน สามารถกระจายตัวได้ไกล หากจับตัวกับฝุ่นละอองขนาดเล็กแล้ว อาจเข้าสู่ร่างกายของประชาชนได้ ไม่เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น แต่ยังลอยไปได้ไกลถึงประเทศเพื่อนบ้าน จึงถือเป็นภัยคุกคามของประเทศต่างๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ขณะนี้ประเทศไทยได้ดำเนินการตามอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท ตั้งแต่วันที่ 20 กันยายน 2560 ซึ่งได้มีการกําหนดแหล่งกําเนิดที่จะต้องควบคุมการปลดปล่อยปรอทสู่บรรยากาศไว้ 5 กลุ่ม ภายในข้อบทที่ 8 ของอนุสัญญาฯ ได้แก่

(1) โรงไฟฟ้าถ่านหิน

(2) หม้อน้ำอุตสาหกรรมที่ใช้ถ่านหิน

(3) กระบวนการถลุงแร่และอบแร่ที่ใช้ในกระบวนการผลิตโลหะที่ไม่ใช่เหล็ก (ตะกั่ว สังกะสี ทองแดง และ อุตสาหกรรมผลิตทองคํา)

(4) เตาเผาขยะ

(5) โรงผลิตปูนซีเมนต์

โดยประเทศภาคีจะต้องจัดทํามาตรการควบคุมการปลดปล่อยปรอทจากแหล่งกําเนิดนั้นๆ ส่วน แหล่งกําเนิดใหม่ได้ระบุให้ภาคีนำแนวทางด้านเทคนิคที่ดีที่สุด (Best Available Techniques : BAT) และแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีที่สุด (Best Environmental Practices : BEP) มาปรับใช้ เพื่อควบคุม และลดการปลดปล่อย ปรอท ขณะนี้อนุสัญญาฯ อยู่ระหว่างจัดทำ BAT และ BEP ซึ่งหากแล้วเสร็จประเทศไทย โดยหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง. อาทิ กรมควบคุมมลพิษ และกรมโรงงานอุตสาหกรรม ภายใต้การกำกับของคณะอนุกรรมการอนุสัญญามินามาตะว่าด้วยปรอท จะนำแนวทางดังกล่าวมาปรับใช้และดำเนินการภายในประเทศ 

ทั้งนี้ กรมควบคุมมลพิษ มีแผนจะติดตามตรวจวัดสารปรอทในบรรยากาศในพื้นที่ที่มีแหล่งกำเนิด 5 กลุ่มข้างต้น เพื่อให้สอดคล้องตามอนุสัญญาฯ รวมทั้งเพื่อใช้เป็นข้อมูลประกอบการพิจารณาแนวทางการจัดการ และนำเสนอผลการดำเนินงานสู่สาธารณะต่อไป

ด้าน นพ. สุวรรณชัย วัฒนายิ่งเจริญชัย อธิบดีกรมควบคุมโรค กล่าวว่า ได้สั่งการไปยังสถาบันป้องกันควบคุมโรคเขตเมือง และสำนักโรคจากการประกอบอาชีพและสิ่งแวดล้อม ให้ดำเนินการเฝ้าระวัง ติดตามสถานการณ์ฝุ่นขนาดเล็ก ตลอดจนจำนวนผู้ป่วยที่มีอาการอันเกิดจากผลกระทบด้านสุขภาพที่อาจเกี่ยวข้อง ในพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑลอย่างใกล้ชิดและต่อเนื่อง แม้ว่าในช่วงนี้สภาพอากาศจะมีแนวโน้มดีขึ้น และปัจจุบันยังไม่มีการรายงานถึงจำนวนของผู้ป่วยที่เพิ่มขึ้น หรือพบผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงอย่างมีนัยสำคัญที่สัมพันธ์กับผลกระทบจาก PM2.5 แต่ขอให้ประชาชนติดตามรับฟังข่าวสารและข้อมูลจากทางราชการอย่างใกล้ชิด

นอกจากนี้ยังแนะนำให้ประชาชนกลุ่มเสี่ยงต้องดูแลตนเองเป็นพิเศษในช่วงนี้ โดยเฉพาะผู้ป่วยด้วยโรคระบบทางเดินหายใจ หอบหืด ภูมิแพ้ ถุงลมโป่งพอง โรคเกี่ยวกับหัวใจและหลอดเลือด ผู้สูงอายุ เด็กเล็ก หญิงตั้งครรภ์ และผู้ที่มีโรคประจำตัว รวมถึงผู้ป่วยด้วยโรคเยื่อบุตาอักเสบ และโรคผิวหนัง เพราะประชาชนกลุ่มนี้ถือเป็นกลุ่มเสี่ยงที่อาจเกิดอาการกำเริบได้ง่ายจากการสูดดมฝุ่นขนาดเล็กดังกล่าว ขอให้พักผ่อนอยู่ในบ้าน ควรเตรียมยาและอุปกรณ์ที่จำเป็นให้พร้อม และรีบปรึกษาแพทย์ทันทีเมื่อมีอาการทรุดลง หากจำเป็นต้องออกนอกบ้าน ให้ใช้ผ้าชุบน้ำบิดพอหมาดๆ ปิดจมูกและปาก ถ้าอยู่ในที่ที่มีฝุ่นหนาแน่นให้ใช้หน้ากากกรองฝุ่นหรือหาผ้าเปียกมาปิดจมูก

สำหรับประชาชนทั่วไป หลีกเลี่ยงการออกกำลังกาย และการทำงานหนักที่ออกแรงมาก เพราะการหายใจเร็วในระหว่างการออกกำลังกายจะทำให้ร่างกายรับฝุ่นละอองเข้าไปมาก ขอให้ดื่มน้ำมากๆ และไม่สูบบุหรี่ในช่วงที่มีปัญหาฝุ่นขนาดเล็ก นอกจากนี้ควรช่วยกันลดปัจจัยที่ก่อให้เกิดมลพิษ เช่น ไม่เผาขยะ โดยเฉพาะขยะที่เป็นสารพิษ เช่น พลาสติก ยางรถยนต์ รวมทั้งขยะทั่วไป  และลดการใช้รถยนต์หรือใช้เท่าที่จำเป็น