ไม่พบผลการค้นหา
ธปท.เผย พ.ร.บ.ระบบชำระเงิน พ.ศ. 2560 มีผลบังคับใช้ตามกฎหมายแล้ว เน้นสร้างความสะดวกแก่ผู้ประกอบธุรกิจ ทั้งรายเล็กรายใหญ่ หนุนการพัฒนานวัตกรรมการชำระเงิน-ลดทุนจดทะเบียน หวังเพิ่มโอกาสผู้เล่นในตลาด

น.ส.สิริธิดา พนมวัน ณ อยุธยา ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการชำระเงินและเทคโนโลยีทางการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า พ.ร.บ.ระบบการชำระเงิน พ.ศ.2560 ได้เริ่มมีผลบังคับใช้ตามกฎหมายแล้วเมื่อวันที่ 16 เม.ย. 2561 ที่่ผ่านมา ซึ่งกระทรวงการคลัง และ ธปท.ได้ออกประกาศหลักเกณฑ์ในการกำหนดประเภทและการกำกับดูแลผู้ให้บริการระบบการชำระเงินและบริการการชำระเงินภายใต้ พ.ร.บ. ดังกล่าว ซึ่งได้ลงประกาศในราชกิจจานุเบกษาแล้วเมื่อวันที่ 17 เม.ย. ที่ผ่านมา

กฎหมายฉบับนี้เป็นการบูรณาการกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับระบบการชำระเงินในอดีตมาไว้ในฉบับเดียว เพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ประกอบการลดภาระในการปฏิบัติตามกฎหมายหลายฉบับ เกิดความคล่องตัว สะดวก และเอื้อต่อการนำเทคโนโลยีและนวัตกรรมใหม่ๆ มาใช้พัฒนาบริการการชำระเงิน โดยมีการกำกับดูแลที่เหมาะสมกับขนาดและความเสี่ยงของธุรกิจ รวมถึงยกระดับการกำกับดูแลระบบการชำระเงินให้มีความมั่นคงปลอดภัย มีเสถียรภาพ สอดคล้องกับมาตรฐานสากล

ทั้งนี้ ประกาศหลักเกณฑ์การกำกับดูแลดังกล่าวครอบคลุมระบบและบริการการชำระเงิน 3 ประเภท ได้แก่ 1) ระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญ 2) ระบบการชำระเงินภายใต้การกำกับ และ 3) บริการการชำระเงินภายใต้การกำกับ

"จากนี้ไปภายใน 120 วัน ผู้ให้บริการรายเดิมจะต้องมายื่นขออนุญาต หรือขึ้นทะเบียนไว้แล้วแต่กรณี ซึ่งภายในระหว่าง 120 วันนี้ เมื่อมายื่นเอกสารแล้ว ก็ยังสามารถให้บริการต่อไปได้ จนกว่า ธปท.จะมีหนังสือแจ้งกลับไป ส่วนผู้ให้บริการรายใหม่ นับจากวันนี้ต้องมายื่นขออนุญาต หรือขอขึ้นทะเบียนตามที่ได้ประกาศไว้" น.ส.สิริธิดา กล่าว

ธนาคาร-การเงิน.jpg

นอกจากนี้ ธปท. ยังได้ออกประกาศ ธปท. ภายใต้ พ.ร.บ.ระบบการชำระเงิน พ.ศ.2560 อีกทั้งสิ้น 14 ฉบับ ประกอบด้วย 2 ส่วนสำคัญ คือ 1) ประกาศหลักเกณฑ์ระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญ เพื่อกำหนดหลักเกณฑ์ในการกำกับดูแลผู้ให้บริการระบบการชำระเงินที่มีความสำคัญต่อระบบการเงินและเศรษฐกิจ และสมาชิกของระบบ เพื่อให้มีการดำเนินการตามมาตรฐานสากล รวมทั้งมีมาตรการจัดการความเสี่ยงอย่างเหมาะสม โดยเฉพาะการคุ้มครองผลสิ้นสุดของการชำระเงิน เพื่อป้องกันความเสี่ยงกรณีที่สมาชิกของระบบถูกศาลสั่งพิทักษ์ทรัพย์หรือล้มละลาย และอาจมีผลกระทบเป็นลูกโซ่ในระบบการชำระเงิน และระบบการเงินโดยรวม

2) ประกาศหลักเกณฑ์กำกับดูแลระบบการชำระเงินและบริการการชำระเงิน เพื่อให้ระบบการชำระเงินและบริการการชำระเงินมีความมั่นคงปลอดภัย มีประสิทธิภาพ ให้บริการอย่างต่อเนื่อง และมีการคุ้มครองผู้ใช้บริการอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับลักษณะและความเสี่ยงของแต่ละประเภทธุรกิจ 

โดยหลักเกณฑ์ที่สำคัญ ได้แก่ ด้านคุณสมบัติผู้ประกอบธุรกิจ เช่น การกำหนดประเภทนิติบุคคล และคุณสมบัติกรรมการ ผู้มีอำนาจจัดการ ต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตามที่ พ.ร.บ.กำหนด, ฐานะการเงินมั่นคง โดยผู้ประกอบการต้องมีทุนจดทะเบียนชำระแล้วไม่ต่ำกว่าตามที่กำหนดสำหรับธุรกิจแต่ละประเภท เช่น e-Money 100 ล้านบาท, ธุรกิจรับชำระเงิน แบ่งเป็น Acquiring 50 ล้านบาท, Payment Facilitating 10 ล้านบาท, รับชำระเงินแทน 10 ล้านบาท, ธุรกิจโอนเงิน 10 ล้านบาท และผู้ประกอบธุรกิจจะต้องมีฐานะทางการเงินที่มั่นคงเพียงพอที่จะให้บริการได้อย่างต่อเนื่อง


"ทุนจดทะเบียนชำระแล้วขั้นต่ำของธุรกิจ e-Money ในกฎหมายใหม่นี้ ได้มีการปรับลดลงมาเหลือเพียง 100 ล้านบาท จากเดิม 200 ล้านบาท เพื่อสนับสนุนให้เกิดผู้ให้บริการรายเล็กๆ เข้ามาในระบบเพิ่มเติม โดยไม่จำกัดอยู่แต่เฉพาะรายใหญ่ที่ปัจจุบันมีอยู่ 20 กว่ารายเท่านั้น รวมถึงทำให้เกิดการแข่งขัน และช่วยให้ประชาชนสามารถเข้าถึงบริการ e-Money ได้มากขึ้น" น.ส.สิริธิดา กล่าว


3) มีการคุ้มครองผู้บริโภค เช่น การเปิดเผยข้อมูลเงื่อนไขบริการแก่ผู้ใช้บริการ การรักษาข้อมูลส่วนบุคคล และคุ้มครองเงินรับล่วงหน้าจากผู้ใช้บริการ 

4) ด้านธรรมาภิบาล ได้แก่ การกำหนดให้กรรมการหรือผู้มีอำนาจจัดการ มีหน้าที่รับผิดชอบดูแลให้มีนโยบายและการบริหารความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ มีการควบคุมภายในที่เหมาะสม 

5)การจัดการความเสี่ยงและความปลอดภัย ผู้ประกอบธุรกิจต้องมีแผนการบริหารความเสี่ยงต่อเนื่องทางธุรกิจ และแผนฉุกเฉินที่เป็นปัจจุบันและมีการทดสอบอยู่เสมอ ตลอดจนมีการตรวจสอบด้านสารสนเทศเป็นประจำทุกปี


สังคมไร้เงินสด.jpg


"ที่ผ่านมา เราเห็นการเติบโตของสังคมไร้เงินสดมากขึ้น เช่น พร้อมเพย์ก็มีปริมาณการใช้เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกๆ เดือน และแต่ละเดือนก็มีการทำสถิติสูงสุดใหม่ๆ ตลอด ซึ่งเป็นการมุ่งสู่สังคมไร้เงินสดกันมากขึ้น โดยจะเห็นว่าจำนวนเงินที่โอนผ่านพร้อมเพย์แต่ละครั้งเริ่มน้อยลง มียอดต่ำกว่า 3,000 บาทต่อรายการ สะท้อนการโอนเงินเพื่อใช้ในชีวิตประจำวันกันอย่างแท้จริงมากขึ้น" น.ส.สิริธิดา กล่าว

ทั้งนี้ ข้อมูลของ ธปท. นับตั้งแต่เริ่มใช้พร้อมเพย์ถึงปัจจุบัน (27 ม.ค.2560 - 6 เม.ย.2561) มียอดการลงทะเบียนแล้ว 40 ล้านบัญชี แบ่งเป็น การลงทะเบียนโดยผูกบัญชีกับเลขบัตรประชาชน 27 ล้านบัญชี และลงทะเบียนโดยผูกกับหมายเลขโทรศัพท์มือถือ 13 ล้านบัญชี มีปริมาณการโอนเงินผ่านระบบพร้อมเพย์สะสม 173 ล้านรายการ คิดเป็นมูลค่าราว 7 แสนล้านบาท

ย้ำติดตามตรวจสอบบริการ 'ทรู มันนี่' ประจำ ยันไม่พบอะไรที่น่าเป็นห่วง      

นอกจากนี้ น.ส.สิริธิดา ยังกล่าวถึงกรณีข้อมูลลูกค้าของทรูมูฟ เอชเกิดการรั่วไหลว่า ทาง ธปท.ได้มีกระบวนการติดตามและตรวจสอบเป็นประจำทุกปีกับทรูมันนี่ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการที่ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจเงินอิเล็กทรอนิกส์ หรือ e-money รายหนึ่ง และมีการให้บริการ e-wallet (กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์) เป็นหนึ่งในบริษัทลูกของทรูเช่นเดียวกับทรูมูฟ และที่ผ่านมายังไม่พบว่าจะมีช่องโหว่ที่ทำให้เกิดความเสียหายหรือเกิดความรั่วไหลในข้อมูลของลูกค้าแต่อย่างใด


"เราได้มีการติดตามทุกปี มีการพูดคุยกับผู้ให้บริการทรูมันนี่ ซึ่งไม่พบว่าจะต้องมีข้อห่วงใยใดๆ" น.ส.สิริธิดา กล่าว


Photo by rawpixel.com / Jonas Leupe on Unsplash

อ่านข่าวเกี่ยวข้อง :