ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ (14 ธ.ค.) ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาศาลฎีกา คดีที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายจตุพร พรหมพันธุ์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่น โดยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 และ 328 กรณีเมื่อวันที่ 11 ต.ค.2552 จำเลยได้ขึ้นปราศรัยบนเวที นปช. ที่บริเวณอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ถนนราชดำเนิน โดยกล่าวใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ ทำนองว่า ประวิงเวลาในการทำความเห็นเพื่อเสนอสำนักราชเลขาธิการ พิจารณาผู้ที่ร่วมลงรายชื่อถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นอกจากนี้เมื่อวันที่ 17 ต.ค.2552 จำเลยยังได้ขึ้นเวทีปราศรัยของกลุ่ม นปช.ที่หน้าทำเนียบรัฐบาล ใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ขณะเป็นนายกรัฐมนตรีทำนองว่า เป็นอาชญากรและฆาตกรสั่งฆ่าประชาชน มีการสร้างสถานการณ์ทางการเมือง โดยได้มีการเผยแพร่คำปราศรัยผ่านสถานีโทรทัศน์พีเพิล แชนแนล ซึ่งล้วนเป็นเท็จทำให้โจทก์ ได้รับความเสียหาย เสื่อมเสียชื่อเสียงถูกดูหมิ่นเกลียดชัง
คดีนี้ศาลชั้นต้นมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 28 ม.ค. 58 เห็นว่า นายจตุพร กระทำผิดหลายกรรมต่างกันให้เรียงกระทงลงโทษทุกกรรม จำคุกกระทงละ 1 ปี จำนวน 2 กระทง รวมจำคุก 2 ปี และลงโฆษณาคำพิพากษาย่อ ใน นสพ.รายวัน 3 ฉบับโดยจำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา ทั้งนี้เมื่อพิเคราะห์พฤติกาณ์การกระทำผิดของจำเลยแล้ว มีถ้อยคำบางช่วงบางตอนที่ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่ง อาจกระทบต่อสถาบันอันเป็นที่เคารพสักการะของปวงชนชาวไทยโทษจำคุกจึงไม่เห็นควรรอการลงโทษ
ศาลฎีกาตรวจสำนวนประชุมปรึกษาหารือโดยละเอียดรอบคอบแล้วเห็นว่า จำเลยปราศรัยหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์เพื่อให้ประชาชนออกมาขับไล่โจทก์ในฐานะเป็นรัฐบาล ซึ่งเป็นการหมิ่นประมาทใส่ร้ายโจทก์ตามฟ้องจริง ส่วนที่จำเลยฎีกาขอให้ศาลรอลงอาญานั้น เมื่อพิจารณาแล้วเห็นว่า ถ้อยคำของจำเลยไม่เป็นการสมควร หมิ่นเหม่กระทบสถาบันจึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ แต่ในชั้นฎีกาจำเลยในยอมรับว่า ได้ปราศรัยถ้อยคำดังกล่าวจริงที่ศาลล่างพิพากษามานั้น ศาลฎีกาไม่เห็นพ้องด้วย เห็นควรลดโทษบ้าง จึงพิพากษาแก้ให้จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวม 2 กระทงเป็นจำคุก 12 เดือนนอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามศาลชั้นต้น