ไม่พบผลการค้นหา
กระทรวงพาณิชย์ยันราคาผลปาล์มสูงขึ้นเป็นไปตามเป้าหมายที่กำหนด และการนำเข้าถั่วเหลืองไม่กระทบราคาน้ำมันพืชปาล์ม

นายบุณยฤทธิ์ กัลยาณมิตร อธิบดีกรมการค้าภายใน เปิดเผยถึงกรณีที่มีกระแสข่าวว่าปัจจุบันราคาผลปาล์มดิบทั่วประเทศยังมีราคาแตกต่างกันมาก และราคาที่ขยับสูงขึ้นในช่วงนี้ถือว่าไม่มีประโยชน์ เนื่องจากเป็นช่วงปลายฤดูเก็บเกี่ยว เกษตรกรไม่มีผลผลิตมาจำหน่าย

พร้อมกับชี้แจงว่า ราคาผลปาล์มที่เพิ่มสูงขึ้น เกิดจากคณะกรรมการนโยบายปาล์มน้ำมันแห่งชาติ (กนป.) มีมติให้ใช้มาตรการลดปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบ ที่มีจำนวนมากกว่า 500,000 ตัน โดยได้เร่งรัดให้มีการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์เพิ่มมากขึ้น ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2560 ซึ่งส่งออกได้ 88,304 ตัน และเดือน ม.ค. 2561 ส่งออกได้ 69,000 ตัน รวม 157,304 ตัน

ขณะที่ ปริมาณการส่งออกน้ำมันปาล์มดิบและน้ำมันปาล์มบริสุทธิ์ในปี 2560 ถึงเดือน ม.ค. 2561 รวมทั้งสิ้น 372,126 ตัน และกระทรวงพลังงานได้รับมติ กนป. ไปดำเนินการ โดยใช้น้ำมันปาล์มดิบในน้ำมันไบโอดีเซลเพิ่มขึ้นจากวันละ 4 ล้านลิตร เป็น 6 ล้านลิตร และเก็บสต็อกน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นอีก 50,000 ตัน ส่งผลให้ปริมาณสต็อกน้ำมันปาล์มดิบที่เพิ่มสูงขึ้นในเดือน พ.ย. 2560 จำนวน 532,651 ตัน ได้ปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง ทำให้สิ้นเดือนม.ค. 2561 ลดลงเหลือ 407,841 ตัน

ทั้งนี้ คาดว่าสิ้นเดือน ก.พ. จะลดลงเหลือ 314,579 ตัน ซึ่งจะใกล้เคียงกับสต็อกระดับปกติที่ 300,000 ตัน และทำให้ราคาผลปาล์มน้ำมันที่ 18% ได้ปรับเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเดือน ธ.ค. 2560 ราคาเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.37 บาท เดือน ม.ค. 2561 เพิ่มขึ้นเฉลี่ยกิโลกรัมละ 3.44 บาท โดยในปัจจุบัน (14 ก.พ. 61) ได้เพิ่มขึ้นเป็น กก.ละ 4.20 บาท และน้ำมันปาล์มดิบเพิ่มขึ้นเป็น กก.ละ 21.50 บาท และแนวโน้มราคาผลปาล์มน้ำมันที่ 18% จะเพิ่มสูงขึ้นอีก

โดยคาดว่าภายในสิ้นเดือน ก.พ. 2561 ราคาจะเพิ่มสูงขึ้นมากกว่า กก. ละ 4.20 บาท ซึ่งเป็นราคาเป้าหมายที่เหมาะสมของกระทรวงพาณิชย์ ในส่วนของราคาผลปาล์มในภาคกลางที่ต่ำกว่าภาคใต้ มีสาเหตุจากพื้นที่ปลูกปาล์มในภาคกลาง ส่วนใหญ่จะอยู่ไกลจากโรงงานสกัดที่ตั้งอยู่ใน จ.ชลบุรี ทำให้ราคารับซื้อต้องหักค่าขนส่งไปโรงงานสกัด

นำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง 2 ล้านตันต่อปี ในโควต้าปลอดภาษี

สำหรับการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลือง มีความต้องการใช้เมล็ดถั่วเหลืองเพื่อใช้ในอุตสาหกรรมการผลิตน้ำมันถั่วเหลือง อุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ แต่เนื่องจากผลผลิตไม่เพียงพอ จำเป็นต้องมีการนำเข้าประมาณ 2 ล้านตันต่อปี รัฐบาลจึงกำหนดให้มีการนำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองภายใต้ข้อผูกพัน WTO ในโควตา ไม่จำกัดปริมาณและช่วงเวลานำเข้า รวมทั้งปลอดภาษี (ส่วนนอกโควตา ภาษี 80%)

โดยให้ผู้ผลิตน้ำมันถั่วเหลือง ผู้ผลิตอาหารและเครื่องดื่ม โรงงานอาหารสัตว์ และสมาคมผู้เลี้ยงสัตว์ มีสิทธินำเข้าในโควตารวม 6 สมาคม 18 บริษัท ซึ่งมีการกำกับดูแล ให้นำเข้าเมล็ดถั่วเหลืองเพื่อใช้ตามวัตถุประสงค์ และต้องรับซื้อเมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิตในประเทศทั้งหมดในราคาตามกลไกตลาด แต่ไม่ต่ำกว่าราคาขั้นต่ำที่กำหนด สำหรับเมล็ดถั่วเหลืองที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่ม และอุตสาหกรรมอาหารสัตว์ จะไม่สามารถนำมาผลิตน้ำมันถั่วเหลืองได้

อธิบดีกรมการค้าภายใน กล่าวเพิ่มเติมว่า ด้านการการผลิตน้ำมันถั่วเหลือง จะใช้เมล็ดถั่วเหลืองที่ผลิต ในประเทศและเมล็ดถั่วเหลืองนำเข้าผลิตได้น้ำมันพืชถั่วเหลืองประมาณ 0.292 ล้านตันต่อปี คิดเป็นเพียง 15% ของปริมาณการผลิตน้ำมันพืชทั้งหมด (น้ำมันปาล์ม น้ำมันถั่วเหลือง น้ำมันพืชชนิดอื่นๆ) โดยใช้ในภาคอุตสาหกรรม 40% และใช้ในการบริโภคภาคครัวเรือน 60% ซึ่งปกติราคาขายปลีกน้ำมันพืชถั่วเหลืองจะสูงกว่าน้ำมันพืชปาล์ม

หากราคาขายปลีกน้ำมันพืชปาล์มเพิ่มสูงขึ้นใกล้เคียงกับราคาน้ำมันพืชถั่วเหลือง ทำให้ผู้บริโภคบางส่วนอาจจะหันมาใช้น้ำมันพืชถั่วเหลืองทดแทนน้ำมันพืชปาล์ม แต่ปัจจุบันราคาขายปลีกน้ำมันพืชปาล์มขวดลิตรละ 30 – 33 บาท ส่วนราคาขายปลีกน้ำมันพืชถั่วเหลือง ขวดลิตรละ 39 - 41 บาท ราคาน้ำมันพืชปาล์มต่ำกว่าน้ำมันพืชถั่วเหลือง ขวดลิตรละ 9-11 บาท จึงไม่มีผลทำให้การบริโภคน้ำมันพืชปาล์มลดลง