วันที่ 7 เม.ย. ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรคก้าวไกล กล่าวถึงกรณีที่ เศรษฐา ทวีสิน ประธานที่ปรึกษาหัวหน้าครอบครัวเพื่อไทย และผู้ได้รับการเสนอชื่อเป็นนายกรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทย ประกาศเติมเงินในกระเป๋าเงินดิจิทัล 10,000 บาทให้คนไทยอายุ 16 ปีขึ้นไป
โดย ธนาธร ระบุว่า ตอนนี้คนไทยอ่อนแอมาก ไม่มีทางที่จะสร้างประเทศที่เข้มแข็งได้หากคนไทยยังอ่อนแอแบบนี้ ซึ่งในช่วงโควิด-19 ที่ผ่านมา คนไทยมีเงินเก็บลดลง หนี้สินครัวเรือนเพิ่มมากขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่จะสร้างประเทศที่เข้มแข็งจากคนที่อ่อนแอ พรรคก้าวไกลจึงเห็นว่าในระยะสั้นมีความจำเป็นที่จะต้องสร้างระบบรัฐสวัสดิการดูแลคนตั้งแต่เกิดจนตายให้ได้ เพื่อทำให้คนมีความมั่นคงในชีวิต
"คนที่ไม่มีความมั่นคงในชีวิต มองชีวิตกันเป็นวันเป็นสัปดาห์ สัปดาห์หน้าจะกินอะไร เดือนหน้าจะกินอะไร วางแผนชีวิตไม่ได้ ถ้าเราสร้างรัฐสวัสดิการจะดูแลคนได้ เขาจะวางแผนเป็นเดือนได้ เดือนนี้ต้องผ่อนรถให้เสร็จก่อน ปีหน้าค่อยเริ่มซ่อมบ้าน" นายธนาธรกล่าว
ธนาธร กล่าวต่อไปว่า ประเทศไทยจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงอยู่แบบนี้ต่อไปไม่ได้ จึงขอโอกาสพรรคก้าวไกลขับเคลื่อนสังคมไทยให้ไปข้างหน้า
เมื่อถามว่าเงินดิจิทัล 10,000 บาทสามารถ กระตุ้นเศรษฐกิจไปถึง 6 เดือนได้หรือไม่ ธนาธร กล่าวว่า คงต้องถามพรรคเพื่อไทยว่าทางทีมนโยบายพรรคคิดเห็นอย่างไร ส่วนตัวอยากเห็นรูปแบบสวัสดิการที่ยั่งยืนมากกว่านี้ ทำให้ประชาชนมั่นคงได้ความสำคัญคือต้องมีความต่อเนื่องและชัดเจน จะสามารถทำให้คนออกแบบชีวิตได้
เมื่อถามว่าหากมีโอกาสร่วมรัฐบาลกันพรรคก้าวไกลจะนำข้อเสนอรัฐสวัสดิการต่อพรรคเพื่อไทยหรือไม่ ธนาธร กล่าวว่า แน่นอน ตนคิดว่า การร่วมรัฐบาลระหว่างพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยคงต้องมีการปรับหลายอย่าง นโยบายหลายอย่างที่พรรคเพื่อไทยนำเสนอเป็นนโยบายที่ดีพรรคก้าวไกลพร้อมสนับสนุน
ขณะเดียวกันก็เชื่อว่ามีนโยบายของพรรคก้าวไกลหลายตัวที่เป็นประโยชน์ต่อประชาชน และเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยก็พร้อมที่จะหยิบยกนโยบายของพรรคก้าวไกลไปใช้เช่นกัน ดังนั้น หากหลังเลือกตั้งแล้วคงมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกันเพื่อดูว่าหากตัวรัฐบาลแล้วจะพาสังคมไทยไปข้างหน้าอย่างไร
เมื่อถามว่ารายละเอียดของนโยบายดังกล่าว ประชาชนสามารถใช้เงินได้ไม่เกินรัศมี 4 กิโลเมตร เพื่อดึงคนกลับบ้าน จะชนกับนโยบายของพรรคก้าวไกล ในการสร้างอุตสาหกรรมเพื่อดึงคนกลับบ้านเหมือนกันหรือไม่ ธนาธร กล่าวว่า เป็นคนละอย่างกัน นโยบายของพรรค เพื่อไทยเป็นการเสนอในระยะสั้น แต่นโยบายการสร้างอุตสาหกรรมของพรรคก้าวไกลคือการสร้างงานในระยะยาว สิ่งที่น่ากลัว สำหรับเศรษฐกิจไทย ไม่ใช่การเติบโตทางเศรษฐกิจระยะสั้น
"การเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะสั้นต่ำกว่าเพื่อนบ้านอยู่แล้ว เราวิ่งช้ากว่าเพื่อนบ้าน แต่สิ่งที่อันตรายมากกว่าคือขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศไทย ประเทศไทยจะแข่งกับโลกาภิวัตน์อย่างไรจะส่งออกอย่างไร นี่คือโจทย์ใหญ่ เพราะส่งออกไม่ได้แข่งขันไม่ได้คนไม่มีงานทำ ดังนั้นจะพาประเทศไปสู่ความเจริญก้าวหน้าได้พรรคก้าวไกลเน้นที่วิทยาศาสตร์ เน้นที่เทคโนโลยีจำเป็นต้องสร้างเทคโนโลยีในประเทศไทยให้ได้" ธนาธร กล่าว
เมื่อถามถึงกรณี ปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า โพสต์เฟซบุ๊กไม่เชื่อว่าพรรคเพื่อไทยจะทำนโยบายหยุดรัฐประหารสำเร็จ ธนาธร กล่าวว่า ก็ตรงไปตรงมา หากมีพรรคการเมืองที่กล้าต่อสู้กับการทำรัฐประหารอย่างจริงจัง ถ้ามีพรรคการเมืองที่ต่อสู้กับทหารที่เข้ามาการเมืองอย่างจริงจัง ก็คงไม่มีพรรคอนาคตใหม่และก้าวไกลในวันนี้
ธนาธร ย้ำว่า กรณีนี้เป็นความเห็นส่วนตัวของ ปิยบุตร ที่ไม่มีความเชื่อมั่น ทั้งนี้หากมีพรรคการเมืองที่ยึดมั่นในประชาธิปไตยและพร้อมต่อสู้กับพลังที่ไม่เป็นประชาธิปไตยอย่างตรงไปตรงมาก็ไม่มีพรรคอนาคตใหม่ ตนเชื่อเป็นอย่างยิ่งว่าหากพรรคก้าวไกลและพรรคเพื่อไทยมีโอกาสจับมือกันเป็นรัฐบาลจะเป็นโอกาสให้กับประเทศไทยในการมีทั้งพลังและประสบการณ์ ในการนำไปสู่ทิศทางที่เป็นประชาธิปไตย
เมื่อถามว่านโยบายเกี่ยวกับการรัฐประหารพรรคก้าวไกลชัดเจนกว่าพรรคเพื่อไทย ธนาธร กล่าวว่าให้ประชาชนตัดสินเองดีกว่า ส่วนเรื่องการแก้ไข ม.112 ธนาธร ระบุว่า พรรคก้าวไกลก็ไม่ได้เสนอให้ยกเลิกแต่เป็นการแก้ไข ซึ่งหากมีโอกาสร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยก็คงจะคุยกับฝ่ายบริหาร เป็นเรื่องฝ่ายสภา และมองว่าจะไม่เป็นเงื่อนไขในการเข้าร่วมรัฐบาล