ไม่พบผลการค้นหา
นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร ยืนยัน แก้ปัญหาปลาหมอคางดำ อย่างเท่าเทียม ไม่มีแบ่งแยก ประมงพาณิชย์ หรือประมงพื้นบ้าน

วันนี้ (24 มีนาคม 2568) เวลา 21.15 น. ณ ห้องประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชั้น 2 อาคารรัฐสภา ถนนสามเสน เขตดุสิต กรุงเทพมหานคร นายกรัฐมนตรี แพทองธาร ชินวัตร เข้าร่วมการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 26 ปีที่ 2 ครั้งที่ 26 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่สอง) เป็นพิเศษ กรณีฝ่ายค้านยื่นญัตติขอเปิดอภิปรายทั่วไปเพื่อลงมติไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ตามมาตรา 151 ของรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560

นายจิรายุ ห่วงทรัพย์ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า วันนี้ นายกรัฐมนตรีได้ชี้แจงกรณี การแก้ปัญหาปลาหมอคางดำ และภาคการประมงว่า จากการที่มีการเปรียบเทียบภาพที่ได้รับดอกไม้ จาก คณะกรรมการบริหารสมาคมการประมงแห่งประเทศไทย ขอชี้แจงข้อเท็จจริงว่า วันนั้น คณะดังกล่าว มีคนมาจากหลายจังหวัด มาขอบคุณเรื่องที่อนุมัติงบกลาง 1,622 ล้านบาท เพื่อดำเนินโครงการชดเชย เรือประมง 923 ลำ จากกรณี IUU  ซึ่งได้อนุมัติงบประมาณในรัฐบาลนี้ คณะกรรมการฯ ดังกล่าว จึงได้มาขอบคุณ

ซึ่งเป็นปัญหาที่เกิดขึ้นและค้างคาตั้งแต่รัฐบาลก่อน ไม่ใช่เรื่องการสร้างภาพจัดฉากหรือแบ่งแยกการทำงานระหว่างกลุ่มประมงพาณิชย์ กับกลุ่มประมงพื้นบ้านอย่างที่พยายามกล่าวหา

นายกรัฐมนตรีกล่าวต่อว่า ส่วนการแก้ปัญหาปลาหมอคางดำในวันที่เกษตรกรมาที่ทำเนียบรัฐบาล ก็ได้ส่งนายสมคิด เชื้อคง รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง และอธิบดีกรมประมงไปพบเพื่อรับฟังปัญหาและข้อเสนอตั้งแต่ช่วงเช้าไม่ได้ปล่อยปลาละเลยแต่อย่างใด 

รัฐบาลได้ดำเนินการต่อเนื่องตั้งแต่อดีตนายกรัฐมนตรี นายเศรษฐา ทวีสิน ซึ่งอนุมัติงบกลาง ปี 67 เพื่อดำเนินการ 7 มาตรการควบคุมและกำจัดปลาหมอคางดำ ส่วนปีนี้ที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบงบกลางจำนวน 98 ล้านบาท เพื่อดำเนินการต่อ และรับ 4 ข้อเสนอของเกษตรกร ซึ่งมีการดำเนินการไปแล้วบางเรื่องนอกจากเรื่องงบประมาณมีการแต่งตั้งคณะทำงานเพื่อพิจารณากรอบการช่วยเหลือเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากปัญหาการแพร่ระบาด

"รัฐบาลดำเนินการทุกอย่างโดยไม่มีการแบ่งแยกซึ่งรัฐบาลมีเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนไม่ใช่เพื่อกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง รัฐบาลได้ดำเนินข้อเรียกร้องของประชาชนโดยมีเป้าหมายที่แท้จริงเพื่อแก้ไขปัญหาให้ประชาชนและอย่างที่ได้กล่าวไปจะได้มีกินมีใช้มีเกียรติมีศักดิ์ศรีไปพร้อม ๆ กัน" นายกรัฐมนตรีย้ำ