วันที่ 12 ต.ค. ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ครั้งที่ 22 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 1) วาระรับทราบรายงานผลการปฏิบัติงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ประจำปีงบประมาณ 2565 ในช่วงหนึ่ง ธีระชัย แสนแก้ว สส.อุดรธานี พรรคเพื่อไทย ได้อภิปรายตั้งข้อสังเกตถึงการใช้งบประมาณของ กกต. พบว่าใช้งบประมาณในปี 2565 มากกว่าปี 2564 ถึง 1,067 ล้านบาท ได้ใช้งบฯ ไปกับโครงการใดเพิ่มเติมบ้าง
ธีระชัย กล่าวต่อไปว่า กกต. มีการดำเนินคดีแพ่งการเลือกตั้ง สส. จำนวน 2 คดี ซึ่งมี 1 คดี ที่ กกต. ถูกฟ้อง ซึ่งคาดว่าเป็นกรณีของ สุรพล เกียรติไชยากร ผู้สมัคร สส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2562 ซึ่งถือเป็นคดีใหญ่ระดับประวัติศาสตร์การเมืองไทย และได้สร้างความเสียหายให้กับ สุรพล ที่ชนะการเลือกตั้งไปแล้วเมื่อปี 2562 แต่ กกต. พิจารณาใช้ดุลยพินิจขาดความรอบคอบหรือไม่ เร่งสอบสวนอย่างรัดกุม และตีความกฎหมายอย่างผิดพลาด
โดยในครั้งนั้น กกต. มีมติลงโทษให้ใบส้ม สุรพล กรณีทำบุญถวายเทียนพระ 2 พันบาท ใช้เวลา 2 ชั่วโมง ตัดสินประหารชีวิตทางการเมืองของ สุรพล โดยอ้างว่าเป็นความผิด พ.ร.ป.การเลือกตั้ง เรื่องการให้ทรัพย์สิน แต่ กกต. ลืมไปว่ารัฐธรรมนูญกำหนดให้พระภิกษุไม่สามารถใช้สิทธิเลือกตั้งได้ ท้ายสุด ศาลฎีกามองว่าไม่ใช่การทุจริตเลือกตั้ง ไม่เข้าข่ายจูงใจให้ประชาชนมาลงคะแนนให้
จากนั้น สุรพล ได้ดำเนินคดีแพ่งฟ้อง กกต. ให้ชำระเงิน 64 ล้านบาท ซึ่ง กกต. แพ้คดีทั้งศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์ ทั้งเรียกทรัพย์เพิ่มเป็น 65 ล้านบาท โดยกรณีนี้เป็นครั้งแรกที่ กกต. มีการแจกใบส้มโดยขาดความรอบคอบ แม้จะเป็น กกต. ในอดีต ไม่ใช่ชุดปัจจุบัน และทำให้พรรคเพื่อไทยไม่สามารถส่งผู้สมัครได้อีก อีกทั้ง สุรพล ได้รับเลือกจากประชาชนกลับไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ตัวแทนประชาชนได้
ธีระชัย กล่าวว่า ครั้งนี้จะเป็นคดีตัวอย่างให้ กกต. ในอนาคตต่อไป พร้อมมองว่า กกต. อาจจะไม่ได้อยู่ในพื้นที่ และเชื่อที่เจ้าหน้าที่รายงานมา พร้อมย้ำว่า กกต. ต้องเป็นองค์กรอิสระ ไม่อยู่ภายใต้กลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และถ้าเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก กกต. จะใช้งบประมาณมาชดใช้หากแพ้คดี พร้อมย้ำว่า กกต. ต้องไล่ฟ้องคดีแบบไล่เบี้ย เพราะเงินชดใช้ในคดีเป็นภาษีของประชาชน เพื่อไม่ให้งบบานปลายไปถึงปีงบประมาณอื่น
ต่อมา อดิศร เพียงเกษ สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ได้ลุกขึ้นอภิปรายแสดงความกังวลว่าเหตุใด กกต. ทั้ง 7 ท่าน ไม่ให้เกียรติสภา อยากให้เมื่อมีการชี้แจงต่อสภาฯ จำเป็นต้องมาด้วยตนเองโดยไม่มีข้อยกเว้น โดยส่งมาเพียงเจ้าหน้าที่เป็นตัวแทนชี้แจง
“ผมฝากการบ้านไปถึงประธาน กกต. สภาตั้งอยู่ที่เกียกกาย มาถูก มาง่าย ไม่มีอันตรายใดๆ ทั้งสิ้น เพื่อจะมาปรึกษาหารือเกี่ยวกับการเลือกตั้งให้บริสุทธิ์ยุติธรรม” อดิศร กล่าว
อดิศร อภิปรายถึงประเด็นการเลือกตั้งล่วงหน้า กกต. ทราบหรือไม่ว่ามีการซื้อสิทธิ์ขายเสียง ขอบัตรประชาชนไปล่วงหน้า พร้อมเสนอให้ กกต. พิจารณาการเลือกตั้งล่วงหน้าใหม่ ต้องตรวจสอบว่ามาเลือกตั้งเพราะมีความจำเป็นจริงหรือไม่ หากมาเลือกตั้งอย่างไม่สุจริตต้องมีความผิด เพราะอาจจะส่งผลต่อคะแนนเลือกตั้ง และเข้าข่ายละเว้นปฏิบัติหน้าที่