วันนี้ (19 มีนาคม 2568) ณ ศูนย์แถลงข่าวรัฐบาล ตึกนารีสโมสร ทำเนียบรัฐบาล ภายหลังการประชุมหารือมาตรการเกี่ยวกับการควบคุมการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า ครั้งที่ 4 นางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วย พลตำรวจโทอัคราเดช พิมลศรี ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ นายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร นายวรณัฎฐ์ หนูรอต ที่ปรึกษาด้านการปกครอง กระทรวงมหาดไทย นายกมลสิษฐ์ วงศ์บุตรน้อย รองเลขาธิการคณะกรรมการการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน นางสาวทรงศิริ จุมพล รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค รักษาราชการแทนเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมแถลงผลความคืบหน้า “การแก้ไขปัญหาการแพร่ระบาดของบุหรี่ไฟฟ้า” สาระสำคัญสรุปได้ดังนี้
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า สืบเนื่องจากข้อสั่งการของนางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี มอบหมายให้ตนเองเป็นเจ้าภาพร่วมกับทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เพื่อหามาตรการคุมเข้มและปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า โดยเฉพาะในเด็กและเยาวชน ทั้งนี้ ได้เชิญ 20 หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องประชุมอย่างเร่งด่วน ซึ่งการประชุม แบ่งการทำงานเป็น 3 ส่วน คือ ระยะเร่งด่วน ปูพรม กวาดล้างบุหรี่ไฟฟ้าที่เป็นสินค้าผิดกฎหมาย เน้นการดำเนินการในพื้นที่ชายแดนและด่านศุลกากร โดยเพิ่มมาตรการตรวจเข้มขึ้น และใช้กฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างเคร่งครัด ทุกกรณีที่จับได้จะไม่มีการระงับคดี และจะส่งต่อไปยังกรมสอบสวนกลางเพื่อดำเนินการต่อ ในส่วนของข้อมูลทั้งหมดจะถูกส่งไปยังสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ปปง.) เพื่อสืบสวนเส้นทางการเงินที่เกี่ยวข้อง และดำเนินการยึดทรัพย์ต่อไป เพื่อให้การปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าผิดกฎหมายมีประสิทธิภาพสูงสุด
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวต่อว่า การปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้ายังครอบคลุมถึงการขยายผลในหลายด้าน เช่น การตรวจสอบร้านค้าที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ และร้านค้าออนไลน์ที่ทำให้เด็กและเยาวชนสามารถเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่าย ซึ่งในเรื่องนี้มีหน่วยงานหลายภาคส่วนร่วมมือกัน อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กระทรวงมหาดไทย และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค และกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ตรวจสอบร้านค้าออนไลน์ที่มีการขายบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเข้มข้น หากพบกรณีที่มีมูลค่าของกลางเกิน 500,000 ชิ้น จะถูกส่งต่อไปยังสำนักงาน ปปง. ทันที แต่หากมูลค่าของกลางต่ำกว่า 500,000 ชิ้น ทางตำรวจจะดำเนินการสืบทรัพย์และส่งให้ สำนักงาน ปปง. เพื่อดำเนินการต่อไป นอกจากนี้ กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคมยังได้ดำเนินการปิดกั้นเพจหรือเว็บไซต์ที่เกี่ยวข้องกับการขายบุหรี่ไฟฟ้า ประมาณ 9,500 เพจแล้ว
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึง การสร้างความตระหนักรู้และการประชาสัมพันธ์ให้ความรู้แก่ประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับโทษของบุหรี่ไฟฟ้าและข้อกฎหมายที่เกี่ยวข้อง โดยนายกรัฐมนตรีมีความห่วงใยไม่ต้องการให้เยาวชนเข้าถึงบุหรี่ไฟฟ้าได้ง่าย โดยใช้กลไกที่มีอยู่ทำให้เกิดประโยชน์สูงสุด ส่วนการแก้ไขปัญหาระยะยาว ต้องนำข้อกฎหมายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องมาพิจารณาทบทวน ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร รวมทั้ง ให้กรมประชาสัมพันธ์ร่วมมือกับกระทรวงมหาดไทย ซึ่งมีเครือข่ายหอกระจายข่าวทั่วประเทศกว่า 80,000 จุด เพื่อกระจายข่าวและข้อมูลเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้าให้แก่ประชาชน รวมถึง สื่อ โทรทัศน์ วิทยุ สื่อออนไลน์ และอื่น ๆ เพื่อให้การเข้าถึงข้อมูลและความรู้เป็นไปอย่างทั่วถึงและมีประสิทธิภาพ
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้ามาตรการเร่งด่วนโดยเฉพาะการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้าและกวาดล้างว่านับจากวันที่นายกรัฐมนตรีมีข้อสั่งการปราบปรามบุหรี่ไฟฟ้า เมื่อวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ได้เริ่มดำเนินการทันที โดยมียอดในวันที่ 26 กุมภาพันธ์ – 18 มีนาคม 2568 ยอดการจับกุมดำเนินคดี จำนวน 1,741 คดี ผู้ต้องหา จำนวน 1,789 คน จำนวนของกลาง จำนวน 1,285,024 ชิ้น มูลค่าจำนวน 231,881,074 บาท นอกจากนี้ มีการยกระดับการทำงานที่เข้มข้น ตามคำสั่งของนายกรัฐมนตรีมีการบังคับใช้กฎหมายที่มีอยู่เข้ามาจัดการ โดยเฉพาะมีส่งข้อมูลไปยัง ปปง. เพื่อสืบเส้นทางการเงินและขยายผลการจับกุมไปถึงต้นตอรายใหญ่ นอกจากนี้ยังมีช่องทางการแจ้งเบาะแสส่วนต่างๆ แล้ว มีการพัฒนาแพลตฟอร์มให้ประชาชนสามารถแจ้งผ่านทางแอปพลิเคชันทางรัฐ ที่พัฒนาร่วมกันกับกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม
รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า หลังจากการดำเนินการปราบปรามอย่างเข้มข้นจะรายงานนายกรัฐมนตรีตามที่ได้รับมอบหมายภายใน 30 วัน หรือ ในวันที่ 27 มีนาคม 2568 ซึ่งต้องขอบคุณทุกหน่วยงานที่ทำงานอย่างเข้มข้นเหลือเวลาอีก 1 สัปดาห์ ในการส่งรายงานให้กับนายกรัฐมนตรี ถึงสถิติการจับกุม อุปสรรค และข้อปัญหาต่าง ๆ ที่จะมีการแก้ไขปัญหาทางระยะสั้นและระยะยาวต่อไป
ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า ภายใต้ข้อสั่งการของนายกรัฐมนตรี ได้มีการจับกุมปราบปรามต่อเนื่องอย่างจริงจัง เน้นในเรื่องของการนำเข้า นำมาจำหน่าย ตั้งแต่ผู้จำหน่ายรายใหญ่ ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว ที่จะกระจายแหล่งซุกซ่อนต่างๆ ที่จะนำไปสู่ชุมชน ซึ่งผลการปฏิบัติปี 67 มีการจับกุมกว่า 1,400 ราย ของกลางกว่า 1.6 ล้านชิ้น มูลค่า 300 กว่าล้านบาท ซึ่งปี 2568 นี้ ไฮไลต์อยู่ในช่วงรัฐบาลดำเนินการเข้มงวดกวดขัน มีการจับกุมปราบปรามเพิ่มขึ้นภายใน 2 สัปดาห์ ช่วง 26 กุมภาพันธ์ - 18 มีนาคม สามารถจับกุมได้ 1,700 ราย ของกลางกว่า 1 ล้านชิ้น เป็นการจับกุมรายใหญ่ 24 ราย ของกลาง 1.2 ล้านชิ้น ชิ้นซึ่งมูลค่าของกลางคำนวณได้กว่า 248 ล้านบาท เมื่อเทียบกับการจับกุมในปี 67 จับกุมได้ขึ้นกว่า 468 ราย ทั้งนี้ หากมีการแจ้งเบาะแส หรือร้องเรียนเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า ส่วนของตำรวจแจ้ง 191 หรือ 1599 และสายด่วน ปคบ. 1135 และย้ำถึงข้อกฎหมายควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า ซึ่งห้ามนำเข้า ขาย ครอบครอง และสูบ โดยมีโทษตามกฎหมายที่ชัดเจน ดังนี้
1.ห้ามนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับ 5 เท่าของมูลค่าสินค้า
2.ห้ามขายบุหรี่ไฟฟ้า ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี และปรับไม่เกิน 600,000 บาท
3. ห้ามครอบครอง บุหรี่ไฟฟ้า ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับ 4 เท่าของมูลค่าราคาอากร
4.ห้ามสูบ บุหรี่ไฟฟ้าในพื้นที่สาธารณะหรือเขตปลอดบุหรี่ ฝ่าฝืนมีโทษปรับไม่เกิน 5,000 บาท
ขณะที่ อธิบดีกรมการกรมศุลกากร กล่าวว่า ศุลกากรเป็นเหมือนด่านหน้าในการดูแลเรื่องสินค้าที่นำเข้าจากต่างประเทศยอมรับว่าบุหรี่ไฟฟ้าเป็นสินค้าที่ไม่ได้ผลิตในเมืองไทย เพราะฉะนั้นสินค้าที่มีการขายกันอยู่ต้นทางมาจากต่างประเทศ ส่วนกลไกของกรมศุลกากรถือว่ามีความสำคัญในการควบคุม ซึ่งมาตรการที่ทำอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่รัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสินมาจนถึงข้อสั่งการของ นางสาวแพทองธาร นำระบบข้อมูลบัญชีสินค้า มาขยายผลเชื่อมโยงข้อมูลผู้นำเข้าและประเทศต้นทาง อีกหนึ่งมาตรการคือการตรวจสอบทางกายภาพในทุกการขนส่งสินค้าทางเรือ ที่มีความเสี่ยงในการนำเข้าสินค้าผิดกฎหมาย บุหรี่ไฟฟ้ารวมถึงสินค้าอื่นที่เป็นของต้องห้าม และของ ต้องจำกัดการนำเข้าทั้งทางบก ทางทะเล และทางอากาศโดยจะมีสัดส่วนการเปิดตรวจทางกายภาพ ซึ่งในกรณีของบุหรี่ไฟฟ้ามีการเพิ่มสัดส่วนการเปิดตรวจเข้มข้นในระดับสูงสุด สำหรับมาตรการตามแนวชายแดนและตามลำน้ำพบว่าจะมีการลักลอบเข้ามาตามบริเวณแนวด่านชายแดน และจะมีการคุยกับศุลกากรประเทศต้นทางในการแลกเปลี่ยนข้อมูลกัน ซึ่งหากมีข้อมูลจะสามารถระบุเป้าหมายได้ และจะไม่มีการตกลงยอมความระงับคดีในชั้นศุลกากรโดยเด็ดขาด และจะมีการดำเนินคดีสูงสุดในทุกกรณี พร้อม ดำเนิน มาตรการเชิงรุก ตรวจโกดังสินค้า และสถานที่ทำการ ไปรษณีย์รวมถึงบริษัทขนส่งเอกชน โดยมีการขอหมายศาล เข้าตรวจค้น ซึ่งเป็นมาตรการที่เริ่มดำเนินการแล้ว
ทั้งนี้ หากผู้ใดพบเห็นการลักลอบผลิต ขายบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า สามารถแจ้งเจ้าหน้าที่ตำรวจในท้องที่ หรือแจ้ง สคบ. ได้ที่สายด่วน 1166 เว็บไซต์ www.ocpb.go.th แอปพลิเคชัน OCPB Connect รวมทั้งศูนย์ดำรงธรรม ในทุกจังหวัด
ที่ปรึกษาด้านการปกครอง กระทรวงมหาดไทย กล่าวว่า กระทรวงมหาดไทย มีข้อสั่งการทุก 76 จังหวัด ทุกอำเภอ ทั้ง 887 อำเภอ ในประเทศไทย ได้ดำเนินการเรื่องนี้ อย่างเด็ดขาด ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดยกระดับความสำคัญ เป็นเรื่องเร่งด่วนของจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น ตำรวจ ฝ่ายปกครอง ทั้งศุลกากร ทั้งทหาร ได้บูรณาการทำงานร่วมกันเพื่อดำเนินการจับกลุ่มไม่ว่าจะเป็นผู้จำหน่าย ผู้ลักลอบนำเข้า เอกซเรย์ พื้นที่ทั้งหมด ตรวจสอบว่าบุคคลใดที่พฤติกรรมมีลักษณะที่จะก่อให้เกิดความผิด ขอให้แจ้งพนักงานเจ้าหน้าที่ที่มีอำนาจในพื้นที่
ด้านรองเลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน กล่าวว่า สำนักงาน ปปง. ได้นำมาตรการริบทรัพย์สินใช้กับผู้กระทำความผิด ซึ่งกรณีบุหรี่ไฟฟ้าเป็นความผิดมูลฐานเกี่ยวกับลักลอบหนีศุลกากร ซึ่งได้ใช้กฎหมายฟอกเงินมาบูรณาการ ที่ผ่านมาตั้งแต่เดือนมกราคม ได้มีการรับรายงานความผิดลักลอบหนีศุลกากรเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า จากหน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมาย อาทิ สำนักงานตำรวจแห่งชาติ กรมการปกครอง กรมศุลกากร โดยล่าสุดเฉพาะรายคดีใหญ่ 17 ราย อยู่ในกระบวนการขั้นตรวจสอบเส้นทางการเงิน ตรวจสอบทรัพย์สินเพื่อใช้มาตรการริบทรัพย์กับผู้กระทำความคิดอย่างเข้มข้น เป็นมาตรการหนึ่ง เพื่อตัดวงจรให้ไปถึงผู้ประกอบการ ผู้ค้ารายใหญ่ที่มีการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า
รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กล่าวถึงว่า ปัจจุบันแอปพลิเคชันทางรัฐ ได้มีช่องทางพิเศษ ในการแจ้งเบาะแสแล้วสามารถใช้ได้ตั้งแต่วันนี้ โดยมีสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้าไปตรวจสอบข้อมูล โดยผู้ที่แจ้งเบาะแสสามารถตรวจสอบเลขรับเบาะแสได้ และในส่วนของสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค มีแบนเนอร์หน้าเว็บไซต์สำหรับการแจ้งเบาะแส ช่องการขาย และการนำเข้าบุหรี่ไฟฟ้า ทั้งนี้ การดำเนินการตั้งแต่ปี 2564 จนถึงปัจจุบันปี 2568 สคบ. ได้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อ จับกุม ปราบปราม ยึด อายัดเรื่องของบุหรี่ไฟฟ้า น้ำยาบุหรี่ไฟฟ้า และบางราย สคบ. สามารถดำเนินการยึดอายัดได้เอง และส่งให้เจ้าหน้าที่ตำรวจดำเนินคดีต่อไป ซึ่งการดำเนินการในส่วนกลาง กรุงเทพฯ ทั้งหมด 54 แห่ง ส่วนภูมิภาค 22 แห่ง ได้ผู้ต้องหาทั้งหมด 256 ราย ของกลาง 320,000 ชิ้น มูลค่า 92.6 ล้านบาท รวมถึงรณรงค์ไม่ให้ผู้บริโภคยุ่งเกี่ยวบุหรี่ไฟฟ้า ร่วมกับสถานศึกษา เครือข่ายคุ้มครองผู้บริโภค 29 เครือข่าย ลงพื้นที่จัดนิทรรศการให้ความรู้ ทั้งในกรุงเทพมหานครและภูมิภาค