อันตอนิอู กูร์แตร์รีช เลขาธิการใหญ่แห่งสหประชาชาติ (UN) เผยแพร่วิดีโอแถลงการณ์ เมื่อ 14 พ.ค. เรียกร้องให้รัฐบาลทั่วโลกตระหนักและต้องวางแผนรับมือวิกฤตสุขภาพจิตที่เป็นผลข้างเคียงจากการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19
เลขาธิการใหญ่ UN ระบุว่า รัฐบาลแต่ละประเทศต้องเตรียมความพร้อมให้ดี เพราะต้องดูแลกลุ่มเสี่ยงที่จะได้รับผลกระทบทางจิตใจ ได้แก่ บุคลากรทางการแพทย์ ผู้สูงอายุ เด็ก วัยรุ่น และผู้ที่มีอาการเจ็บป่วยทางจิตใจอยู่ก่อนแล้ว
คู่มือของยูเอ็นระบุว่า การเจ็บป่วยทางจิตทำให้ทั่วโลกสูญเสียทางเศรษฐกิจปีละกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 31 ล้านล้านบาท) เพราะผู้เจ็บป่วยอาจสูญเสียประสิทธิภาพในการทำงาน แต่การรักษาบำบัดอาการ ยังเผชิญกับการตีตราและเลือกปฏิบัติเพราะความไม่เข้าใจของสังคม
สถิติที่ยูเอ็นรวบรวมบ่งชี้ด้วยว่า ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19 ภาวะซึมเศร้าและอาการวิตกกังวล รวมถึงความเจ็บป่วยทางใจอื่นๆ ส่งผลกระทบต่อคนประมาณ 264 ล้านราย นำไปสู่การฆ่าตัวตายของคนในช่วงวัยรุ่นและวัยหนุ่มสาว อายุตั้งแต่ 15-29 ปี
ขณะที่ Reuters รายงานอ้างอิง 'เดฟรา เคสเทล' ผู้อำนวยการด้านสุขภาพจิตขององค์การอนามัยโลก (WHO ซึ่งอธิบายเพิ่มเติมว่า ภาวะวิกฤตโควิด-19 จะทำให้คนจำนวนมากรู้สึกโดดเดี่ยว เพราะนอกจากจะต้องกักตัวเองแล้ว ก็ยังต้องเผชิญความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจ ทำให้เกิดความหวาดกลัวด้านต่างๆ ล้วนส่งผลต่อสภาวะจิตใจของคนจำนวนมาก
ทั้งนี้ กลุ่มเด็กและวัยรุ่นที่อยู่ในช่วงติดเพื่อน กลับต้องถูกแยกจากกลุ่มคนสนิทในช่วงกักตัว กลุ่มผู้สูงวัยก็ต้องเผชิญกับความตายและความเจ็บป่วยของคนรอบตัว ซึ่งเป็นผลจากโรคโควิด-19 และเจ้าหน้าที่สาธารณสุขก็ต้องรับภาระหนักจนเหนื่อยล้า
ส่วนคนวัยทำงานอาจได้รับผลกระทบมากที่สุด หลายคนตกงาน หรือเสี่ยงตกงาน เพราะมีผู้คาดการณ์ไว้หลายรายว่า เศรษฐกิจจะตกต่ำทั่วโลกไปอีกนาน และต้องเผชิญกับการปลดคนอีกหลายระลอก ส่งผลให้คนเครียดและวิตกกังวลกับความไม่แน่นอนในชีวิต ปัจจัยเหล่านี้จะส่งผลต่อสภาพจิตใจของคนจำนวนมากในสังคม
รายงาน UN อ้างอิงข้อมูลจากคณะกรรมการสุขภาพจิตโลกและการพัฒนาที่ยั่งยืน เตือนว่า ในสภาวะวิกฤตโรคระบาดและเศรษฐกิจตกต่ำ คนที่เคยรับมือกับความเครียดหรือปัญหาในชีวิตเรื่องต่างๆ ได้ดี มีแนวโน้มว่าจะรับมือกับปัญหาได้แย่ลง หรือรับมือได้ไม่ดีเท่าเดิม เพราะมีปัญหาเรื่องต่างๆ ประดังเข้ามาคราวเดียว ทำให้เกิดความเครียดสะสม
ส่วนสัญญาณบ่งชี้ที่สำคัญว่าคนในสังคมเครียดเพิ่มขึ้น ได้แก่ อัตราการบริโภคแอลกอฮอล์ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งการบริโภคแอลกอฮอล์มีผลเกี่ยวโยงสถิติการใช้ความรุนแรงในครอบครัวที่เพิ่มสูงขึ้นตามไปด้วย
อีกสัญญาณหนึ่ง คือ สถิติผู้ป่วยที่เกี่ยวเนื่องกับความเครียดหรืออาการทางจิตใจเพิ่มสูงขึ้น ประเมินจากการขอคำปรึกษาหรือยารักษาอาการปวดหัว เบื่ออาหาร ตาพร่า กระสับกระส่าย เหม่อลอย ขาดสติ และโรคหลอดเลือดสมอง (สโตรก)
สิ่งจำเป็นเร่งด่วนที่รัฐบาลทั่วโลกต้องเตรียมพร้อมรับมือปัญหาสุขภาพจิต คือ การสนับสนุนให้มีสวัสดิการด้านสุขภาพ หรือระบบประกันสุขภาพ ที่สามารถคุ้มครองประชากรทุกกลุ่มได้ทันเวลาและเพียงพอต่อความต้องการ
อย่างไรก็ตาม หลายประเทศกำลังประสบปัญหาขาดแคลนบุคลากรด้านนี้ รัฐบาลจึงจำเป็นจะต้องหาทางพัฒนาระบบให้ดีขึ้นกว่าเดิม และกลุ่มคนที่ต้องช่วยเหลือเป็นอันดับแรก ควรมุ่งเน้นที่กลุ่มผู้ด้อยโอกาสทางสังคมและผู้ที่ตกอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ความขัดแย้ง
ข่าวที่เกี่ยวข้อง: