รุ้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล สมาชิกแนวร่วมธรรมศาสตร์และการชุมนุมฯ ร่วมกับแอมเนสตี้ ประเทศไทย ได้สร้างแคมเปญเรียกร้องต่อรัฐบาลไทย "หยุดดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรมต่อบุคคลที่ออกมาใช้สิทธิมนุษยชนอย่างสงบ #ปล่อยเพื่อนเรา" ผ่านเว็บไซต์ https://www.change.org
โดยแคมเปญดังกล่าวระบุว่า ในช่วงมีการชุมนุมเรียกร้องประชาธิปไตยที่เริ่มมาตั้งแต่ ก.ค. 2563 จนถึงวันนี้ (4 ต.ค. 2564) ทางการไทยได้ออกหมายจับ ‘ราษฏร’ ที่เป็นแกนนำและนักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตยไปแล้วอย่างน้อยจำนวน 1,190 คน ใน 630 คดี โดยในจำนวนนี้เป็นเยาวชนที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี อย่างน้อย 223 คน ใน 142 คดี โดยหลายคนถูกดำเนินคดีในข้อหาร้ายแรง และถูกใช้กฎหมายที่คลุมเครือ ไม่เป็นไปตามหลักสิทธิมนุษยชน จนดูเหมือนว่านักกิจกรรมจะถูกฟ้องปิดปากและถูกคุกคามเพราะวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของรัฐบาลและเรียกร้องประชาธิปไตยอย่างสันติ ซึ่งถ้าหากศาลตัดสินว่ามีความผิดจริงหลายคนอาจได้รับโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี
ในเดือน ส.ค. ที่ผ่านมา มีสัญญาณที่น่าเป็นห่วงว่าทางการไทยอาจจะใช้อำนาจปราบปรามเสรีภาพในการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบอย่างเข้มข้นมากขึ้น "ราษฎรผู้ถูกคุมขังในเรือนจำจากการแสดงออกทางการเมือง หรือมีมูลเหตุเกี่ยวข้องกับการเมือง" อย่างน้อย 9 คน ถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวระหว่างรอการพิจารณาคดี โดยศาลได้ปฏิเสธไม่ให้ประกันตัว แม้ว่าทนายความพยายามยื่นขอประกันตัวไปหลายครั้ง
สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ เพราะศาลได้สั่งให้ฝากขังโดยที่ไม่มีความจำเป็น กระทบต่อเสรีภาพและสุขภาพของราษฎรอย่างร้ายแรง ทั้ง ๆ ที่ภายใต้หลักนิติรัฐ ราษฎรที่ยังรอคำพิพากษาเหล่านี้ล้วนถือว่ายังเป็นผู้บริสุทธิ์เพราะพวกเขาเป็นเพียง ผู้ต้องหา
ในสถานการณ์ปกติ เรือนจำและสถานคุมขังของไทยขึ้นชื่อในเรื่องของความแออัดอยู่แล้ว พอมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 ก็ยิ่งส่งผลให้เชื้อจะแพร่กระจายได้มากกว่าในพื้นที่เปิด มีคนป่วยและเสียชีวิตจำนวนมาก ดังนั้นคำสั่งของศาลอาจถือว่าเป็นการผลักให้ผู้ต้องหาต้องเอาชีวิตไปเสี่ยงกับโรคระบาดโควิด-19
ขอย้ำอีกครั้งว่า สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน การที่รัฐบาลไทยและเจ้าหน้าที่รัฐเอากฎหมายที่คลุมเครือมาจำกัดสิทธิขั้นพื้นฐานนี้เสียเอง จึงขัดกับหลักนิติรัฐ และละเมิดพันธสัญญาของรัฐในการดูแลปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน ภายใต้กติการระหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิทางพลเมืองและสิทธิทางการเมือง
ขอเรียกร้องให้รัฐบาลไทย
"ประชาชนทุกคนมีสิทธิที่จะมีชีวิตที่ดีขึ้น ประชาชนมีสิทธิเลือกว่าต้องการให้ประเทศไทยเปลี่ยนไปในทิศทางใด อำนาจอธิปไตยเป็นของประชาชนหาใช่เผด็จการศักดินา รุ้งขอให้ประชาชนทุกคนออกมาแสดงพลังร่วมกันผ่านการล่ารายชื่อครั้งนี้ เสียงของพวกเราทุกคนคือพลังอันยิ่งใหญ่ ทุกกลุ่มอำนาจที่มีต้องสยบยอมแก่ข้อเรียกร้องของประชาชน ความหวังของพวกเราอยู่ไม่ไกล ขอเพียงพวกเราเดินหน้าไปพร้อมกัน ส่งเสียงของพวกเราออกมาให้ดัง และเราจะนำเสียงของทุกคนไปยื่นที่ทำเนียบรัฐบาลภายในเดือนตุลาคมนี้ ทุกคนสามารถมีส่วนช่วยเหลือได้ เพียงลงชื่อสนับสนุนแคมเปญ หยุดดำเนินคดีที่ไม่เป็นธรรมต่อบุคคลที่ออกมาใช้สิทธิมนุษยชนอย่างสงบ #ปล่อยเพื่อนเรา "