ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมาบริษัทเอกชนในสหรัฐฯ กว่า 3,500 แห่ง ยื่นฟ้องรัฐบาลประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่ศาลการค้าระหว่างประเทศ จากกรณีที่เก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มขึ้นกว่า 300,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 9 ล้านล้านบาท) ในช่วงระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา
บริษัทที่ยื่นฟ้องร้องรัฐบาลทรัมป์นั้นส่วนใหญ่เป็นบริษัทในภาคอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ได้รับผลกระทบจากการนำเข้าชิ้นส่วนรถยนต์จากจีน ซึ่งหนึ่งในนั้นมีบริษัทเทสลา ผู้ผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีโรงงานอยู่ที่จีน บริษัท ฟอร์ดมอเตอร์ บริษัทวอลโวกรุ๊ปของอเมริกาเหนือ เป็นต้น
ฝ่ายกฎหมายของบริษัทต่างๆ ชี้ว่า รัฐบาลทรัมป์ล้มเหลวในการบริหารงานตามกำหนดระยะเวลาของการเก็บภาษีในช่วง 12 เดือน และ ไม่ปฏิบัติตามขั้นตอนของการบริการงาน ซึ่งส่งผลกระทบต่อการนำเข้าชิ้นส่วนประกอบรถยนต์จากจีน
ทางด้านเทสลา ซึ่งเป็นบริษัทล่าสุดที่ยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ ได้ออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลทรัมป์คืนเงินภาษีที่เก็บเพิ่มเติมจากมาตรการเก็บภาษีสินค้านำเข้าจากจีนที่ประกาศใช้เมื่อช่วงสองปีที่ผ่านมา
เทสลาชี้ว่า มาตรการเก็บภาษีของรัฐบาลทรัมป์นั้นเกิดขึ้นตามอำเภอใจและใช้ดุลยพินิจในการบริหารงานที่ผิดพลาด
ด้านเมอร์ซิเดสเบนซ์ ระบุว่า การขึ้นภาษีสินค้านำเข้าของสหรัฐฯ กระทบต่อการนำเข้าสินค้าจากจีนเป็นมูลค่าสูงถึง 500,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (ประมาณ 15 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ทั้งนี้เมื่อกลางเดือน ก.ย.ที่ผ่านมา องค์การค้าโลก (WTO) ออกแถลงการณ์ระบุว่า มาตรการขึ้นภาษีสินค้่านำเข้าจากจีนของรัฐบาลสหรัฐฯ ในช่วงสองปีที่ผ่านมานั้น เป็นมาตรการที่ไม่เป็นธรรมและกีดกันการค้า นอกจากนี้ยังเป็นการละเมิดกฎของ WTO ที่ระบุว่า ให้ทุกประเทศใช้อัตราการเก็บภาษีการค้ากับประเทศสมาชิกอย่างเท่าเทียมกัน แต่สหรัฐฯ บังคับใช้มาตรการเก็บภาษีในอัตราที่สูงสุดกับจีนเพียงประเทศเดียว
ขณะที่ รัฐบาลทรัมป์โต้ WTO ว่า มาตรการขึ้นภาษีสินค้านำเข้าจากจีนของสหรัฐฯ เป็นสิ่งที่ยุติธรรม เนื่องจากจีนได้ขโมยทรัพย์สินทางปัญญาและบังคับให้บริษัทของสหรัฐฯ ถ่ายทอดเทคโนโลยีให้กับจีนเพื่อแลกกับการเจาะตลาดจีน
ข่าวที่เกี่ยวข้อง