วันที่ 2 ก.พ. 2564 ที่พรรคเพื่อไทย นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงการบริหารจัดการสถานการณ์โควิด-19 ของรัฐบาลว่า ในนามพรรคเพื่อไทย ยังยืนยันมาตรการที่พรรคได้เสนอไปก่อนหน้านี้ คือ 1.การเยียวยาควรรวดเร็ว ครอบคลุมและทั่วถึง สำหรับผู้ได้รับผลกระทบทั้งหมด โดยให้เป็นเงินสด 3 เดือน เดือนละ 5,000 บาท 2.ต้องครอบคลุมผู้ประกอบการขนาดเล็ก โดยรัฐต้องแก้กฎหมาย พ.ร.ก.ซอฟต์โลน พร้อมเสนอมาตรการสำคัญคือกองทุน 1 ล้านล้านบาทเพื่อช่วยเหลือผู้ประกอบการ แต่จากการติดตามพบว่าการเยียวยายังไม่เป็นไปตามที่เสนอและยังมีการกำหนดมาตรการที่ซับซ้อน โดยแบ่งกลุ่มประชาชนเป็นกลุ่มที่เคยได้รับการช่วยเหลือ และกลุ่มที่ไม่เข้าเงื่อนไข และยังมีปัญหาในกลุ่มที่ไม่มีสมาร์ตโฟน 

นอกจากนี้พรรคเพื่อไทยให้รัฐคำนึงถึงกลุ่มที่ได้รับผลกระทบที่มีข้อห้าม คือ กลุ่มประกันสังคม ตามมาตรา 33 ซึ่งเบื้องต้นเรื่องนี้ถูกนำเข้าที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) แล้ว และทราบว่าจะมีมาตรการที่ชัดเจนออกมาเร็วๆนี้ 

จี้เร่งจัดหาวัคซีนให้ครอบคลุมอย่างน้อย 40 ล้านคน หวั่นช้ากระทบภาคธุรกิจ

นพ.ชลน่านยังตั้งคำถามถึงรัฐบาลว่าเหตุใดต้องใช้วิธีแบ่งจ่ายเงินเยียวยาเป็นรายสัปดาห์ พร้อมตั้งข้อสังเกตว่ามีเงินคงคลังไม่เพียงพอใช่หรือไม่ ซึ่งรัฐต้องตอบสังคมให้ชัดและเหตุใดต้องบังคับจ่ายเฉพาะผู้เข้าร่วมโครงการ

ส่วนการจัดหาวัคซีนโควิด-19 ที่มีความล่าช้านั้น นพ.ชลน่าน ระบุว่า วัคซีนเป็นสิ่งที่ประชาชนต้องการอย่างรวดเร็ว การให้วัคซีนล่าช้ามีผลกระทบมากโดยเฉพาะภาคธุรกิจ พร้อมเรียกร้องให้ครอบคลุมทั่วถึงในราคาที่ไม่แพง หากนำเข้าแบบอย่างเสรีได้ยิ่งดี ทั้งนี้ หากจะให้ครอบคลุมในประชากร 70 ล้านต้องมีอย่างน้อย 40 ล้านคนที่ได้รับวัคซีน แต่รัฐจัดหาได้แค่ 13 ล้านคน รัฐจึงต้องเร่งรัดให้ได้ภายใน 2 ปี หากยังเป็นบริษัทแอสตราเซเนกาต้องฉีดถึง 2 โดส จึงต้องเร่งรัดให้ฉีดอย่างรวดเร็วและควรให้มีการจัดหาอย่างหลากหลาย

แต่วัคซีนล่าช้า เพราะรัฐบาลไม่มีความพร้อมและไร้ความสามารถในหารจัดหาวัคซีน เช่นประเทศเพื่อบ้านช่วงนี้ได้มีการเริ่มฉีดวัคซีนไปแล้ว เมื่อได้รับวัคซีนช้า ผลกระทบเกิดขึ้นมากมาย และจะทำให้เกิดข้อจำกัด จะนำไปสู่การเจริญเติบโตด้านเศรษฐกิจช้าไปด้วย ถ้ารับวัคซีนเร็วโอกาสที่จะฟื้นเศรษฐกิจก็จะเร็วขึ้น ถ้าบริหารจัดการดีรวดเร็วและทั่วถึงภาพความเสียหายก็จะน้อยลง