วันที่ 10 เม.ย. ที่สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ศรีสุวรรณ จรรยา เลขาธิการสมาคมพิทักษ์รัฐธรรมนูญไทย เดินทางมายื่นร้องต่อ กกต. ให้ตรวจสอบนโยบายเงินดิจิทัล 10,000 บาทของพรรคเพื่อไทย โดยกล่าวว่า เป็นประเด็นที่ทำให้ประชาชนเกิดความสงสัย แม้ว่า กกต. จะระบุว่าไม่เข้าข่ายผิดกฎหมาย พ.ร.ป.ว่าด้วยการเลือกตั้ง มาตรา 73 อนุมาตรา 1 แต่ตนมองไปอนุมาตรา 5 ว่าอาจจะเข้าข่ายหลอกลวง หรือจูงใจให้เข้าใจผิดในคะแนนนิยม เพราะเงินดิจิทัลไม่ใช่ว่าจะนำเงินมาแจกกันง่ายๆ แต่มีข้อกฎหมายระบุไว้ใน พ.ร.ก.การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 2561 กำกับดูแลอยู่ และยังมี พ.ร.ก.แก้ไขเพิ่มเติม ประมวลรัษฎากร ฉบับที่ 19 ปี 2561 บัญญัติควบคุมอยู่
ซึ่งประมวลกฎหมายรัษฎากรระบุว่า ใครจะทำการซื้อขายถ่ายโอนสินทรัพย์ดิจิทัลต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย 15% นั่นหมายความว่า หากพรรคเพื่อไทยแจกเงินดิจิทัล 10,000 บาท จะต้องถูกหักไปประมาณ 1,500 บาท และประชาชนจะได้รับจริงเพียงแค่ 8,500 บาท ทำให้เงินถึงมือประชาชนไม่ครบ ซึ่งข้อมูลนี้ ‘เศรษฐา ทวีสิน’ แคนดิเดตนายกฯ พรรคเพื่อไทยไม่ได้แจ้งให้ประชาชนรู้ อีกทั้งผู้ที่รับเงินดังกล่าว และร้านค้าที่รับเงิน เมื่อถึงปีภาษีจะต้องมีการแจ้งต่อสรรพากรด้วยเช่นกัน เพราะหากไม่รายงานจะมีความผิดตามประมวลกฎหมายรัษฎากรฯ
นอกจากนี้ สิ่งที่ตนสงสัยมากกว่านั้นคือ ก่อนที่ เศรษฐาจะลาออกจาก บมจ.แสนสิริ และโอนหุ้นทั้งหมดให้กับลูกสาว เศรษฐาก็เป็นผู้ หรือเกี่ยวข้องกับบริษัทสินทรัพย์ดิจิทัลอยู่ด้วย ซึ่งบริษัทดังกล่าวล้มเหลว เพราะฉะนั้นการที่เศรษฐามากระตุ้นธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล ทำให้หลายคนเชื่อมโยงได้ว่า อาจมีการเอื้อกับธุรกิจตัวเองหรือไม่ เพราะใน พ.ร.ก. การประกอบธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัล 2561 มาตรา 24 ระบุว่า ห้ามบุคคลวงใน หรือบุคคลที่มีข้อมูลเบื้องลึกดำเนินการ แม้เศรษฐาจะโอนหุ้นให้ลูกสาวแล้ว แต่ก็ถือว่าเป็นครอบครัวเดียวกัน ย่อมรู้ข้อมูลเบื้องลึกอยู่แล้ว ดังนั้นเรื่องนี้จึงมีความผิดทั้งทางแพ่ง และอาญา ทำให้เรื่องทั้งหมดไม่เพียงเป็นเรื่องสัญญากับประชาชน และทาง กกต.มีหน้าที่ต้องตรวจสอบว่าที่มาของเงินมาจากไหน เกิดผลประโยชน์ หรือผลกระทบใดๆ กับสังคม
หากทาง กกต. วินิจฉัยว่า เข้าข่ายผิดตามกฎหมาย ก็ต้องแจ้งไปทางคณะกรรมการบริหารพรรคการเมือง ตาม พ.ร.ป.พรรคการเมือง มาตรา 22 ระบุว่า ให้หยุดดำเนินการเรื่องดังกล่าว และแก้ไขให้ถูกต้อง
ศรีสุวรรณ ยังย้ำว่า ในอดีตพรรคเพื่อไทยเคยใช้นโยบายประชานิยมแบบสุดขั้ว เช่นนโยบายจำนำข้าว ที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อเศรษฐกิจในเมืองไทยมหาศาล และทาง กกต.ชุดนั้นก็ไม่ได้แสงความรับผิดชอบแต่อย่างใด วันนี้จึงต้องมาร้องให้ กกต. ดำเนินการตามกฎหมาย หากผิดก็ว่าไปตามผิด หากไม่ผิดก็ว่าไปตามไม่ผิด