พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวภายหลังการประชุมคณะกรรมการอำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร และมอบนโยบายสรุปผลการปฏิบัติงาน ปี 62 การการแถลงแผนงาน ปี 63 ของ กอ.รมน. ว่า การแก้ปัญหาความไม่สงบในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ ขณะนี้ยังไม่ถึงขั้นการประกาศเคอร์ฟิว แต่หากจะมีก็ต้องเป็นช่วงสั้นที่สุด อย่างไรก็ตามโดยเจ้าหน้าที่มีความจำเป็นในการปิดพื้นที่เพื่อจับกุมคนร้าย
เมื่อถามว่ากลุ่มผู้ที่ก่อเหตุเป็นกลุ่มหน้าขาวหรือไม่
นายกรัฐมนตรี ตอบว่า จะต้องมีหลักฐานในการดำเนินการจับกุม ซึ่งเจ้าหน้าที่มีข้อมูลพยานหลักฐานไว้หมดแล้ว ทั้งปืน ปลอกกระสุน ก็จะนำมาพิจารณาสืบสวนสอบสวน โดยเร็วๆ นี้ เชื่อว่าจะได้รับความคืบหน้า
อย่างไรก็ดีนายกรัฐมนตรี ยังไม่ขอเรียกว่าเป็นกลุ่มก่อการร้าย แต่ยอมรับว่ากลุ่มผู้ก่อเหตุใช้กลยุทธ์ที่รุนแรง โดยใช้อาวุธสงครามเพื่อให้เกิดการกดดันต่อรัฐ และการทำงานของเจ้าหน้าที่ ดังนั้นเจ้าหน้าที่ก็จะพยายามแก้ปัญหาด้วยสันติวิธี พร้อมบังคับใช้กฎหมาย นำการพัฒนาเข้าสู่พื้นที่ ซึ่งไม่อยากให้มีการตีความที่ผิดไป เพราะไม่เช่นนั้นจะกระทบต่อคนในพื้นที่ ดังนั้นการบังคับใช้กฎหมายจึงจะต้องรัดกุม แต่คนนอกพื้นที่กลับมองว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ไม่อยากไปละเมิดสิทธิใคร แต่ขอให้ย้อนกลับไปดูสิ่งที่ผู้ก่อเหตุ กระทำว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือไม่ ที่เป็นการทำร้ายประชาชนทั้งไทยพุทธมุสลิม
นายกรัฐมนตรี ยังเปิดเผยว่า ขณะนี้ชุดพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้พูดคุยกับกลุ่มแนวร่วมผู้เห็นต่างในพื้นที่มาเลเซีย ซึ่งก่อนไปตนเองได้ให้แนวทางในการพูดคุยและทุกครั้งหลังการพูดคุยก็รายงานให้ตนรับทราบ ซึ่งการพูดคุยในครั้งนี้จะเป็นประเด็นเพื่อให้สามจังหวัดใช้แดนภาคใต้ เกิดความปลอดภัยและมีสันติสุขอย่างยั่งยืน โดยการพูดคุยก็ต้องปรับ และหาวิธีการให้เหมาะสมไปอย่างต่อเนื่อง กับกลุ่มแนวร่วมหลายระดับ ทั้งกลุ่มผู้นำระดับการเมือง การทหาร คนรุ่นเก่า-ใหม่ เพื่อหาวิธีการ ลดความรุนแรง แต่ยืนยันว่ารัฐพูดคุยกับกลุ่มที่มีบทบาทแท้จริง ไม่ใช่นำกลุ่มที่ไม่มีบทบาทมาพูดคุย
ทั้งนี้นอกจากการพูดคุย ในพื้นที่ก็ต้องมีการแก้ปัญหาในเรื่องของการข้ามแดน ซึ่งพบว่ามีการปลอมปนเข้ามากับชาวบ้านธรรมดา ซึ่งได้สั่งการให้ในพื้นที่ปฏิบัติการในเชิงรุก ระมัดระวังการใช้กฎหมายจะต้องไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชน และสร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชน พร้อมยืนยันว่ากำลัง ชรบ.และ อรป. ยังมีความจำเป็นในการดูแลพื้นที่ร่วมกับเจ้าหน้าที่ แต่จะต้องมีการเสริมยุทธวิธีให้เกิดความเข้มแข็ง ปรับการลาดตระเวนให้เกิดการรัดกุม ซึ่งถือเป็นการให้คนในพื้นที่ช่วยกันดูแลพื้นที่ของตนเอง