คดีความการจับกุม 'เมิ่ง หว่านโจว' ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงินของหัวเว่ย บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่สัญชาติจีนยังคงดำเนินต่อเนื่องมาตั้งแต่ช่วงปลายปี 2561 ล่าสุด 'ริชาร์ด โดโนกู' อัยการเขตบรูคลิน มหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ออกมาชี้แจงโต้แย้งว่ารัฐบาลจีนไม่ควรมีสิทธิเข้าถึง 'เอกสารที่มีความอ่อนไหว' กว่า 21,000 หน้า ของหัวเว่ย
อัยการเขตสหรัฐฯ ให้เหตุผลว่า ประเทศจีน "ได้แสดงความตั้งใจที่กระทำการเพื่อปกป้องหัวเว่ยจากข้อกล่าวหาในคดีนี้" จึงมีความเป็นไปได้ที่เอกสารเหล่านี้อาจถูกใช้ผิดเป้าประสงค์ถ้าตกไปอยู่ในมือของรัฐบาล จึงเป็นเรื่องจำเป็นที่เอกสารเหล่านี้ต้องอยู่กับกลุ่มอัยการฝ่ายโจทก์และภายในประเทศสหรัฐฯ เท่านั้น
นอกจากนี้ ริชาร์ด ยังอ้างอิงข่าวจากหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ กรณีรัฐบาลจีนเข้าจับกุมอดีตพนักงานหัวเว่ยที่พูดคุยเรื่องการซื้อขายอุปกรณ์ของบริษัทกับประเทศอิหร่านผ่านแอปพลิเคชันวีแชท ซึ่งมีใจความประโยคหนึ่งว่า "ฉันพิสูจน์ได้ว่าหัวเว่ยขายของให้อิหร่าน" และแม้บทสนทนาอื่นๆ จะไม่มีหลักฐานสนับสนุนว่าสิ่งที่หัวเว่ยทำเป็นเรื่องผิดกฎหมาย แต่อดีตพนักงานทั้ง 5 คน ก็ถูกจำคุกอยู่ดี
'ลี ฮงหยวน' วัย 42 ปี และ 'เฉิน เม่ง' วัย 39 ปี อดีตพนักงานที่โดนคุมขังเป็นเวลา 8 และ 3 เดือนตามลำดับ ให้สัมภาษณ์กับหนังสือพิมพ์เดอะนิวยอร์กไทมส์ว่า สาเหตุหลักที่พวกเขาโดนจับก็เพื่อให้หยุดพูดถึงกิจกรรมในอิหร่าน ซึ่งการคุมขังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วตั้งแต่ช่วงเดือน ธ.ค.2561 โดยนายลีโดนจับกุมตัวตอนอยู่ที่เมืองเซินเจิ้น ซึ่งเป็นที่ตั้งของหัวเว่ยสำนักงานใหญ่ ขณะที่นายเฉิน โดนจับกุมตัวขณะกำลังพักผ่อนในประเทศไทย
กรณีการจับกุมอดีตพนักงานบริษัทของหัวเว่ยนั้น ทำให้อัยการย้ำถึงความตั้งใจที่รัฐบาลจีนต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับคดีของหัวเว่ยอย่างชัดเจน ขณะที่หัวเว่ย โต้กลับว่า การแชร์ข้อมูลบริษัทให้กับรัฐบาลจีนเป็นส่วนสำคัญในการต่อสู้จากข้อกล่าวหาและการลิดรอนสิทธินั้นส่งผลต่อการต่อสู้อย่างมากเสมือน 'พิการอย่างรุนแรง'
เมื่อว่ากันตามกฎหมายไม่ใช่กิจกรรมการค้าทั้งหมดระหว่างหัวเว่ยและประเทศอิหร่านจะผิดกฎหมายทั้งหมด ตามหลักใหญ่ๆ กฎหมายแค่ห้ามการค้าที่เกี่ยวข้องกับสินค้า เทคโนโลยี หรือบริการที่มีต้นกำเนิดมาจากสหรัฐฯ เท่านั้น
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วง มี.ค.ที่ผ่านมา สำนักข่าวรอยเตอร์สลงข่าวที่เกี่ยวข้องกับการได้มาซึ่งเอกสารภายในของหัวเว่ยที่แสดงให้เห็นถึงความเกี่ยวข้องในการส่งสินค้าที่มีต้นกำเนิดจากสหรัฐฯ ไปยังอิหร่าน โดยเอกสารแรกเป็นรายการบรรจุสินค้าของหัวเว่ย 2 ฉบับ ลงวันเวลา ณ ธ.ค.2553 ที่บ่งชี้ถึงการส่งสินค้าของฮิวเลตต์-แพคการ์ด หรือเอชพี บริษัทสัญชาติอเมริกัน ไปยังบริษัทขนส่งของอิหร่าน ขณะที่เอกสารอีกฉบับหนึ่งลงเวลา 2 เดือนให้หลังจากฉบับแรก มีใจความตอนหนึ่งระบุว่า "สถานะอุปกรณ์ตอนนี้ส่งไปถึงกรุงเตหะรานของอิหร่านแล้ว และกำลังรอผ่านกรมศุลกากรอยู่"
โดยรอยเตอร์สระบุว่า เอกสารทั้งสองฉบับนี้เป็นหนึ่งในเอกสารสำคัญและเข้มแข็งที่สุดที่อัยการฝ่ายโจทก์ของสหรัฐฯ สามารถใช้เพื่อต่อสู้คดีกับหัวเว่ย ที่ขณะนี้มี 'เมิ่ง หว่านโจว' ซีเอฟโอของบริษัทกำลังสู้คดีอยู่ตั้งแต่ถูกจับกุมที่่สนามบินในประเทศแคนาดา
22 ส.ค.ศาลเขตตะวันออกของนิวยอร์กออกหมายจับ 'เมิ่ง หว่านโจว'
1 ธ.ค.เมิ่ง โดนควบคุมตัวทันทีเมื่อเดินทางถึงสนามบินแวนคูเวอร์ ของแคนาดาโดยหน่วยงานบริการชายแดนแคนาดา (ซีบีเอสเอ)
7-11 ธ.ค.เมิ่งขึ้นศาลเพื่อขอประกันตัวด้วยวงเงิน 10 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 320 ล้านบาท
9 ธ.ค.รัฐบาลจีนออกมาประณามการจับกุมอย่างรุนแรง
12 ธ.ค.โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีของสหรัฐฯ ออกมาประกาศว่าจะเข้าไปร่วมในคดีดังกล่าวหาก "เป็นสิ่งที่ดีกับประเทศ"
26 ม.ค.เอกอัครราชทูตแคนาดาในประเทศจีนลาออก
28 ม.ค.สหรัฐฯ เรียกร้องให้แคนาดาส่งผู้ร้ายข้ามแดน
1 มี.ค.กระทรวงยุติธรรมของแคนาดาตั้งคณะทำงานส่งผู้ร้ายข้ามแดน
6-8 มี.ค.เมิ่งปรากฎตัวในศาลเป็นครั้งแรกตั้งแต่มีการประกันตัว
1 พ.ค.รัฐบาลจีนประกาศหยุดการนำเข้าเนื้อหมูจากประเทศแคนาดา
20 ส.ค.มีการปล่อยเอกสารและวิดีโอขณะที่เมิ่งถูกจับออกมา
1-3 ต.ค.ทนายความกล่าวในศาลว่า ซีบีเอสเอ ส่งมอบรหัสอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ติดตามที่ผิดให้กับสำนักงานตำรวจแห่งชาติของแคนาดา
9 ธ.ค.ศาลแคนาดาเรียกข้อมูลเพิ่มจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติแคนาดา ซีบีเอสเอ และองค์กรอื่นๆ
20 ม.ค.ในการรับฟังการให้ปากคำฝ่ายจำเลยมีการพูดถึงประเด็นหลักความผิดสองรัฐ (double criminality) ซึ่งทีมทนายของเมิ่ง หว่านโจว ชี้ว่า หมายจับของสหรัฐฯ พูดถึงการที่หัวเว่ยละเมิดการคว่ำบาตรของสหรัฐฯ ต่ออิหร่าน ซึ่งเป็นการคว่ำบาตรที่รัฐบาลแคนาดาปฏิเสธความเกี่ยวข้อง
23 ม.ค.ผู้พิพากษาไม่ตัดสินคดีและรอหลักฐานเพิ่มเติมในประเด็นความผิดสองรัฐ
13 ก.พ.กระทรวงยุติธรรมของสหรัฐฯ ฟ้องเมิ่งและหัวเว่ยเพิ่มเติม
30 มี.ค.ประกาศเลื่อนการฟังพิจารณาคดีในเดือน เม.ย.และ มิ.ย.ออกไป จากโควิด-19
อ้างอิง; Bloomberg, Reuters, BIV, NYT
ข่าวที่เกี่ยวข้อง;